กะหล่ำปลี ผักที่ต้องมีติดตู้เย็นกันทุกบ้าน ทำกับข้าวได้หลากหลายเมนู ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน [1] ทางตอนใต้ของยุโรป มีหลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า กะหล่ำปลีถูกปลูกโดยชาวกรีก ที่มีให้เราบริโภคมานานกว่าหลายพันปี และในปัจจุบันนี้ ก็หารับประทานได้ง่าย มีทุกท้องตลาด
กะหล่ำปลี เป็นผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่ใยอาหารสูง วิตามินซี โพแทสเซียม และวิตามินเคเท่านั้น แต่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์
มีหลากหลายสายพันธ์ุ แต่ละสายพันธ์ุของ กะหล่ำปลี มีลักษณะ และรสชาติที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้จะเป็นที่พบบ่อย
กะหล่ำปลี สามารถปลูกได้ในหลายสภาพอากาศ แต่การเจริญเติบโตที่ดี ต้องอยู่ในสภาพอากาศเย็น ในอุณหภูมิระหว่าง 16-21 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงปลูกได้ดีในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ และตาก
นอกจากภาคเหนือแล้ว ยังสามารถปลูกกะหล่ำปลีได้ในภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคตะวันออก แต่ต้องเลือกช่วงที่มีอากาศเย็น ปลูกในช่วงฤดูฝน หรือปลูกบนพื้นที่สูง
สำหรับในภาคใต้ อากาศร้อนไม่เหมาะกับการปลูกกะหล่ำปลี แต่สามารถปลูกได้ในบางพื้นที่ เช่น บนยอดเขาหรือพื้นที่ที่มีอากาศเย็น
เก็บเกี่ยวได้หลังจากการปลูกประมาณ 60-90 วัน ทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ หากกะหล่ำปลีชนิดไหน มีแหัวแน่น กลม และโตเต็มที่ สามารถใช้มีดคมตัดก้านเหนือระดับดินประมาณ 1 นิ้ว ระวังอย่าให้ใบช้ำ แล้วห่อด้วยกระดาษทิชชู่หรือถุงพลาสติก ทำแบบนี้จะเก็บ กะหล่ำปลี ได้นาน 1-2 สัปดาห์
กะหล่ำปลี ก็เป็นผักชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้บริโภคก็ควรเลือกกินให้เหมาะกับความชอบ และความต้องการของสารอาหารด้วย