การศึกษา หลุมดำ บนพื้นโลก สำคัญยังไงกับวิทยาศาสตร์

การศึกษา หลุมดำ บนพื้นโลก

การศึกษา หลุมดำ บนพื้นโลก สำคัญยังไงกับวิทยาศาสตร์ นอกโลกของเรานั้น เป็นเหมือนพื้นที่ ไร้ขีดจำกัด ที่มีความลับ มากมายซ้อนอยู่ สิ่งเหล่านี้ดึงดูด นักวิทยาศาสตร์ ในการทดลอง และหาคำตอบของเรื่องต่างๆ หลุมดำก็ถือเป็น ปริศนาสำคัญอย่างหนึ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์ ให้ความสนใจมากที่สุด

  • การก่อตัวของหลุมดำและแนวคิดรูปแบบใหม่
  • สิ่งที่หลุมดำทำได้และการจำลองหลุมดำบนโลก
  • ทฤษฎีที่อิงการทำงานของหลุมดำและประเภทของหลุมดำ

สัดส่วนการก่อตัว ของหลุมดำบนอวกาศ

ในแต่ละกาแล็กซี จะมีหลุมดำอยู่ โดยกาแล็กซีของเรานั้น ก็มีหลุมดำ ที่มีขนาดเทียบเท่ากับ ดวงอาทิตย์อยู่ แต่หลุมดำนี้ มีจำนวนมวลมากมาย พระอาทิตย์หลายเท่า โดยหลุมดำนี้ กลายเป็นปัจจัยหลัก ของทางช้างเผือก เพราะการทำงาน ของแรงโน้มถ่วง ของหลุมดำ ที่ทำปฏิกิริยา กับก๊าซและฝุ่นโดยรอบ

ช่วงเวลาไม่นานมานี้ เมื่อทศวรรษ 2010 ได้มีการค้นพบ หลุมดำขนาดใหญ่ ที่ใหญ่กว่ากาแล็กซีเรา และได้ตั้งชื่อว่า “หลุมดำมวลอภิมหายิ่งยวด” หลุมดำนี้มีมวล มากกว่าของกาแล็กซีเราถึง 1000 เท่า และในช่วงทศวรรษ เดียวกันนั้นเอง ได้มีการค้นพบ หลุมดำอื่นๆ อีกกว่า 100 แห่ง (26 ตุลาคม 2024) [1]

หลุมดำยิ่งยวด ที่ถูกค้นพบนั้น จากการศึกษาเมื่อช่วงปี 2023 พบว่ามีขนาด ของมวลโดยรวม มากกว่าดวงอาทิตย์ อยู่ที่ 3.3 ล้านเท่า และหลุมดำอื่นๆ ที่ถูกค้นพบนั้น เชื่อว่าอาจจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ดาวฤกษ์หลายดวง ต้องดับสลายลง เพราะการทำปฏิกิริยา กับแรงโน้มถ่วง บริเวณโดยรอบทั้งหมด

การสำรวจหลุมดำ และการค้นพบแนวคิดใหม่

หลุมดำที่อยู่ในอวกาศ ถือได้ว่ามีอีกมาก ที่ยังไม่ถูกค้นพบ และหลุมดำบางชนิด กลุ่มนักสำรวจ ไม่สามารถตรวจจับได้ และยังไม่สามารถ มองเห็นได้แบบตาเปล่า การค้นพบ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมี “ขอบฟ้าเหตุการณ์” ที่ถูกสร้างขึ้น โดยแรงโน้มถ่วง ของหลุมดำเท่านั้น กลุ่มสำรวจจึงจะสามารถ ค้นพบมันได้

อีกหนึ่งวิธี ในการตามหาหลุมดำ พบว่าการพ่นไอน้ำ ที่มีพลังงานสูง และติดตามการเคลื่อนที่ สามารถทำให้ค้นพบ หลุมดำได้เช่นกัน สิ่งนี้ถือเป็น ทฤษฎีรูปแบบใหม่ ในเรื่องของการศึกษา หลุมดำอื่นๆ ที่ลอยตัวอยู่ อีกทั้งยังมีการค้นพบว่า หลุมดำมีความสามารถ ในการสร้างวงแหวน ให้หมุนรอบตัวเองได้อีกด้วย

ความสามารถพิเศษ ที่มีเพียงหลุมดำเท่านั้น ที่ทำมันได้

1. หลุมดำในอวกาศ ถือเป็นการอัดแน่น ของมวลที่อยู่จำนวนมาก จนทำให้สามารถ บิดเบือนการทำงาน ของอวกาศได้ และยังส่งผล ต่อดาวเคราะห์รอบๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ อีกด้วย
2. แรงโน้มถ่วง ที่เกิดจากหลุมดำ มีอนุภาคมหาศาล สิ่งนั้นทำให้ สิ่งของโดยรอบ ไม่สามารถหลุดรอด การตรวจจับ ของหลุมดำไปได้ แม้แต่แสงก็ไม่รอด
3. บริเวณรอบๆ หลุมดำมีค่าพลังงาน เป็นลบ สิ่งนั้นจะสร้าง แรงกระทำที่ตรงข้าม กับวัตถุโดยรอบ ทำให้วัตถุเหล่านั้น สร้างปฏิกิริยา และจะพุ่งเข้าหาหลุมดำ
4. หลุมดำไม่ได้ มีความน่ากลัว แค่ตรงที่การสร้างมวล แต่ยังสามารถ ขยายคลื่นไฟฟ้าได้ เป็นเหมือนการชาร์จแบต ให้กับวัตถุต่างๆ โดยมีชื่อเรียกว่า “ซูเปอร์เรเดียนซ์” (12 พฤษภาคม 2025) [2]
5. จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต ที่อยู่นอกโลกนั้น อาจจะใช้พลังงาน จากหลุมดำ เป็นพลังงานขับเคลื่อน และใช้หลุมดำ เป็นแหล่งพลังงานหลัก
6. งานวิจัยที่ออกมา เมื่อช่วงปี 2514 มีการค้นพบว่า นอกจากการสร้างพลังงาน ที่หลุมดำสามารถทำได้ แต่หลุมดำยังส่งผลให้ วัตถุที่อยู่ใน สมมาตรตามแกน วัตถุเหล่านั้น สามารถดูดซับ พลังงานไฟฟ้าได้
7. หลุมดำสามารถ แผ่รังสีออกมาได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพา การทำงานของ สนามแม่เหล็กโดยรอบ

นักวิทยาศาสตร์ ทำสิ่งใดกับหลุมดำบนพื้นโลก

การศึกษา หลุมดำ บนพื้นโลก

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ได้คิดค้นวิธีการ ศึกษาหลุมดำแบบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้อง พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อส่งนักบินอวกาศ ออกไปศึกษาอีกแล้ว เพราะสิ่งนั้นทำให้ ผู้คนจำนวนมาก ตั้งคำถามที่ว่า ทำไมลอยได้ เมื่ออยู่ นอกโลก และนักวิทยาศาสตร์ ยังเสียเวลาในการ อธิบายเพื่อทำความเข้าใจ ให้กับกลุ่มผู้คน

โดยการเดินทาง แต่ละครั้งที่จะไป ยังพื้นที่หลุมดำ ใช้เวลายาวนานกว่า 1,500 ปีแสง สิ่งนั้นใช้ระยะเวลา ยาวนานเกินไป จนมาถึงปี 2022 ได้มีการจำลอง หลุมดำภายในห้องทดลอง เป็นทีมนักฟิสิกส์ ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานเช่นนี้ มีปัญหาไม่น้อยเลย (2 กุมภาพันธ์ 2025) [3] เพราะการทดลองนี้

เป็นเหมือนการจำลอง หลุมดำที่อยู่นอกโลก เพื่อศึกษา การทำงานของหลุมดำ และศึกษาวิธีการ ทำลายหลุมดำในอวกาศ และกลุ่มนักฟิสิกส์เหล่านี้ ได้ค้นพบรังสี ที่มีชื่อว่า “รังสีฮอว์คิง” เป็นรังสีที่สามารถ เปลี่ยนแปลงการทำงาน ของหลุมดำได้ และทำให้หลุมดำเหล่านั้น แตกสลายออกไปได้

ทฤษฎีที่ถูกสร้างขึ้น จากการทำงานของหลุมดำ

ทฤษฎีใหม่ เกี่ยวกับการใช้งาน รังสีฮอว์คิง เป็นขั้นตอนการศึกษา ระหว่างกลไก ทางธรรมชาติ ที่กระทำต่อวัตถุ สิ่งนั้นทำให้ การทำงานของ แรงโน้มถ่วง และพลังงานโลก สามารถพัฒนา ขึ้นไปในระดับ มหภาคได้ โดยการเลือกใช้ รังสีฮอว์คิงนี้ จะนำมาเป็นปัจจัยหลัก ในการศึกษาของ ทฤษฎีอีก 2 ทฤษฎีที่ชื่อว่า

“ทฤษฎีสัมพัทธภาพ” และ “กลศาสตร์ควอนตัม” ทั้งสองทฤษฎี เมื่อมีการรวม การศึกษาเข้าด้วยกัน จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจการทำงาน ของอนุภาค ที่เป็นอะตอมได้ อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มนักฟิสิกส์ จะสามารถเรียนรู้ เรื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ได้เพิ่มเติม เพื่อเป็นแหล่งความรู้ใหม่

สิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้ เกี่ยวกับหลุมดำบนอวกาศ

1. Primordial Black Holes: หลุมดำแบบควอนตัม เป็นหลุมดำ ที่ค้นพบได้ตั้งแต่ ยุคแรกของจักรวาล เป็นหลุมดำขนาดเล็ก ที่เราไม่สามารถ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มีแรงโน้มถ่วง อยู่จำนวนมหาศาล
2. Stellar Black Holes: เป็นหลุมดำ ที่เกิดจากการแตกสลาย ของดาวดวงใหญ่ ที่แยกสลายออกจากกัน โดยเป็นการแยกออกจากกัน เพราะไม่สามารถ อยู่กับแรงดึงดูด บริเวณรอบตัวเองได้
3. Supermassive Black Holes: หลุมดำขนาดใหญ่ที่สุด เป็นการรวมตัวกัน ของหลุมดำหลายแห่ง จนกลายเป็นหลุมดำ ที่มีขนาดใหญ่มาก และมีมวลมากกว่า ดวงอาทิตย์อยู่ที่ หลักหมื่นถึงหลักล้าน

หากสนใจอ่านรายละเอียดทั้งหมดคลิกอ่านได้ที่ physicsblueprint

ในหน้าสุดท้าย การศึกษา หลุมดำ บนพื้นโลก

หน้าสุดท้าย การศึกษาหลุมดำบนพื้นโลก เป็นการจำลอง การสร้างหลุมดำ ของกลุ่มนักฟิสิกส์ และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างเพื่อศึกษา การทำงานของหลุมดำ อีกทั้งยังเป็นการหา วิธีการทำลายหลุมดำ ที่อยู่ในอวกาศ เพราะหลุมดำเหล่านี้ สามารถบิดเบือน ห้วงอวกาศได้

หลุมดำใช้วิธีไหน ในการทำลายดาวดวงอื่น

เป็นการใช้ แรงโน้มถ่วง ที่มีอยู่จำนวนมหาศาล เข้าทำปฏิกิริยา กับดวงดาวที่เคลื่อนที่ เข้ามาใกล้หลุมดำ เป็นการดึงดวงดาว เข้าไปภายในหลุมดำ และทำให้ดาวดวงนั้นๆ เกิดการแตกสลาย และแปรเป็น ดาวเคราะห์เล็กๆ หมุนอยู่รอบๆ หลุมดำเหล่านั้น

ผลกระทบที่หลุมดำ สร้างให้กับมนุษย์

หากโลกของเรา เคลื่อนที่เข้าไป ในห้วงการทำงาน ของหลุมดำเหล่านั้น โลกเราอาจจะ แตกสลายไปได้ อีกทั้งหลุมดำยังสามารถ บิดเบือนอวกาศได้ สิ่งนั้นส่งผลกระทบ โดยตรงต่อโลก ทำให้โลกอาจจะ มีการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่ และสร้างผลกระทบ รุนแรงกับมนุษย์โลก

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง