
กีวี ดียังไง ต่อสุขภาพ ภูมิคุ้มกัน ผิว และหัวใจ
- OTP
- 9 views

กีวี ดียังไง ? มันเป็นผลไม้ลูกเล็ก มีรสเปรี้ยวหวานสดชื่น แต่เบื้องหลังความอร่อยนี้ กีวียังซ่อนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างน่าสนใจ บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกีวีอย่างรอบด้าน เพื่อให้คุณได้รู้จักผลไม้เล็ก ๆ ที่ให้คุณค่าทั้งด้านสุขภาพ และวัฒนธรรมได้มากขึ้น
- ทำความรู้จัก และลักษณะทางกายภาพของกีวี
- ประวัติการแพร่กระจาย
- คุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น
ทำความรู้จัก กีวี (Kiwifruit)
- ชื่อ: กีวี
- ชื่อสามัญ (Common name): Kiwifruit (บางครั้งเรียกว่า Chinese gooseberry)
- ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Actinidia deliciosa (และมีสายพันธุ์อื่น ๆ เช่น Actinidia chinensis)
- วงศ์ (Family): Actinidiaceae
- ถิ่นกำเนิด: จีนตอนกลางและตะวันออก (ภาคหุบเขาของจีน)
ลักษณะทางกายภาพ ต้นกีวี
- ผล (Fruit): ผลกีวีรูปกลมรี ขนาด 5–8 เซนติเมตร ผิวสีน้ำตาลมีขน เนื้อสีเขียวหรือทอง รสหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดเล็กสีดำรอบแกนกลาง
- ใบ (Leaf):ใบกว้างรูปไข่ถึงหัวใจ สีเขียวเข้มด้านบน อ่อนด้านล่าง มีขนละเอียด ขนาดใหญ่ จัดเรียงสลับ
- ดอก (Flower):ดอกสีขาวถึงเหลืองอ่อน มีกลีบ 5–6 กลีบ เกสรตัวผู้จำนวนมาก เป็นพืชแยกเพศ ต้องมีต้นตัวผู้และเมียเพื่อผสมเกสร
- เถาและกิ่ง (Vine and Stem):เป็นไม้เถาเลื้อยแข็งแรง กิ่งสีน้ำตาลมีขน สามารถยาวหลายเมตร ต้องอาศัยค้างหรือซุ้มให้เลื้อย
ทำความรู้จัก กีวี จากผลไม้จีนสู่สัญลักษณ์แห่งนิวซีแลนด์
- ต้นกำเนิดในจีน – พันปีสู่แรกบันทึกในค.ศ. 12 (คริสต์ศตวรรษที่ 12) กีวี มีต้นกำเนิดในภาคกลางและตะวันออกของจีน และมีบันทึกครั้งแรกในช่วงราชวงศ์ซ่ง (Song dynasty) ซึ่งตรงกับคริสต์ศตวรรษที่ 12
- เดินทางมานิวซีแลนด์ – ปี ค.ศ. 1904 ในปี ค.ศ. 1904 เมล็ดกีวี (Actinidia deliciosa) ได้ถูกนำเข้ามายังนิวซีแลนด์ โดย Mary Isabel Fraser ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน Whanganui Girls’ College และเพิ่งเดินทางกลับจากภารกิจในจีน
- ต้นแรกปลูกและออกผล – ปลูกในปี ค.ศ. 1906 และออกผลใน ค.ศ. 1910 เมล็ดที่นำเข้าในปี 1904 นี้ ถูกนำไปปลูกโดย Alexander Allison ในปี 1906 และผลไม้ชุดแรกของกีวีก็เริ่มผลิออกในปี 1910
- การเปลี่ยนชื่อเพื่อการตลาด – เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1959 ก่อนหน้านี้ ผลไม้ถูกเรียกว่า “Chinese gooseberry” แต่ในยุคสงครามเย็น คำว่า “จีน” กลับกลายเป็นอุปสรรคทางการตลาด ในวันที่ 15 มิถุนายน 1959 บริษัท Turners & Growers เสนอชื่อใหม่ “kiwifruit” ซึ่งเชื่อมโยงกับนกกีวี สัญลักษณ์ของนิวซีแลนด์ (8 มิถุนายน 2025) [1]
กีวี ผลไม้ลูกเล็กที่อัดแน่นด้วยวิตามินซีมากกว่าส้ม
ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี หลายคนคงนึกถึงส้มเป็นอันดับแรก แต่รู้หรือไม่ว่า “กีวี” กลับมีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าส้มเสียอีก โดยกีวีขนาดกลางหนึ่งลูก (ประมาณ 100 กรัม) ให้วิตามินซีเฉลี่ยราว 90 มิลลิกรัม นี่ยังไม่รวมถึงผลไม้อื่นอย่างแอปเปิล กล้วย หรือแม้แต่ Blackberry ดียังไง ที่ก็เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเช่นกัน
วิตามินซีกับภูมิคุ้มกันและผิวพรรณ วิตามินซีไม่ได้ช่วยแค่เรื่องหวัด แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง ดูกระจ่างใส และช่วยลดริ้วรอย นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันพร้อมรับมือกับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
ที่มา: How much vitamin C does a kiwifruit contain? (15 กันยายน 2023) [2]
กีวีกับสุขภาพการย่อยอาหาร
กีวีเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องไฟเบอร์สูง มีไฟเบอร์รวมประมาณ 3.39 กรัมต่อ 100 กรัม โดยเป็นไฟเบอร์ ที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber) ประมาณ 77% และไฟเบอร์ ที่ละลายน้ำ (soluble fiber) ประมาณ 23%
ซึ่งช่วยทั้งในด้านการเคลื่อนไหวของลำไส้และการอุ้มน้ำในอุจจาระ เมื่อทานเป็นประจำจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ราบรื่น ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำในกีวีช่วยดูดซับน้ำและทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น ส่วนไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำก็ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดปัญหาท้องผูกได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งจุดเด่นของกีวีคือการมีเอนไซม์ชื่อ Actinidin ที่พบเฉพาะในกีวี มีสัดส่วนสูงถึง 50% ของโปรตีนที่ละลายในน้ำ (soluble protein) ของผลกีวี เอนไซม์นี้ช่วยย่อยโปรตีนให้เล็กลง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานง่ายขึ้น เหมาะกับคนที่มักรู้สึกแน่นท้องหลังมื้ออาหารที่มีเนื้อสัตว์หรือโปรตีนสูง
กีวีเพื่อสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด
กีวีไม่ได้มีดีแค่รสชาติสดชื่น แต่ยังเป็นผลไม้ที่ช่วยดูแลหัวใจได้อย่างน่าสนใจ หนึ่งในคุณสมบัติเด่นคือการเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระและโพแทสเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์สมดุล โพแทสเซียมทำหน้าที่ปรับสมดุลโซเดียมในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงความดันสูงที่อาจนำไปสู่โรคหัวใจ
นอกจากนี้ การทานกีวีอย่างสม่ำเสมอยังมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดโอกาสเกิดหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน
งานวิจัยหลายชิ้นได้สนับสนุนประโยชน์นี้ เช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Blood Pressure พบว่าผู้ที่กินกีวีวันละ 3 ลูกต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ มีค่าความดันโลหิตลดลงมากกว่าผู้ที่กินแอปเปิลในปริมาณเท่ากัน รวมถึงงานวิจัยจากนอร์เวย์ที่ชี้ว่าการทานกีวีช่วยลดเกล็ดเลือดและลดความเสี่ยงลิ่มเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ที่มา: Fruit fight: Kiwi tops apple in blood pressure study (15 พฤศจิกายน 2011) [3]
สรุป กีวี ดียังไง ? ผลไม้เล็กที่ให้คุณค่ามหาศาล

โดยสรุปแล้ว กีวี ดียังไง ? เป็นผลไม้ขนาดเล็ก เต็มไปด้วยคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ และโภชนาการ สู่การเป็นสัญลักษณ์ของนิวซีแลนด์ ไปจนถึงสารอาหารที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีในปริมาณสูงที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงผิว ไฟเบอร์และเอนไซม์ actinidin ที่ช่วยดูแลระบบย่อยอาหาร รวมถึงโพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ และหลอดเลือด
กีวีควรเก็บรักษาอย่างไรให้อยู่ได้นาน?
กีวีที่ยังไม่สุก ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง จนกว่าจะนิ่มเล็กน้อย จึงจะพร้อมทาน หากต้องการยืดอายุการเก็บ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งสามารถอยู่ได้นานถึง 1–2 สัปดาห์ และถ้าอยากให้สุกเร็วขึ้น สามารถเก็บไว้ในถุงกระดาษคู่กับผลไม้อื่น ที่ปล่อยก๊าซเอทิลีน เช่น กล้วยหรือแอปเปิล
คนที่แพ้กีวีมีอาการอย่างไร?
แม้กีวีจะมีประโยชน์ แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ละเท็ก (latex allergy) อาการแพ้อาจเกิดขึ้นในช่องปาก เช่น คัน ลิ้นบวม หรือเจ็บคอ บางรายอาจมีอาการทางผิวหนัง หรือระบบหายใจ หากมีอาการผิดปกติหลังทาน ควรหยุดทานทันที และปรึกษาแพทย์
- Tags: ผลไม้

แหล่งอ้างอิง


