ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่ บรรพบุรุษของ scoring wing

ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่

ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่ ก่อนที่โลกจะคุ้นกับภาพของ Michael Jordan ลอยตัวกลางอากาศ ก่อนที่คำว่า “hang time” จะกลายเป็นศัพท์พื้นฐานของแฟนบาส มีชายคนหนึ่งเคยทำสิ่งเหล่านั้นมาก่อนแล้ว ในยุคที่กล้องถ่ายไม่ทัน และสื่อก็ยังไม่รู้จะนิยามเขาว่าอะไรดี ชายคนนั้นคือเอลกิน เบย์เลอร์ (Elgin Baylor)

  • โปรไฟล์พื้นฐานของเอลกิน เบย์เลอร์โดยย่อ
  • สไตล์การเล่นของเอลกิน เบย์เลอร์ที่ทำให้เขาเป็นตำนาน
  • เอลกิน เบย์เลอร์ในบทบาทผู้บริหาร

จากถนนใน D.C. สู่เวทีที่ NBA ไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป

เอลกิน เบย์เลอร์เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1934 ที่กรุง Washington D.C. เติบโตในช่วงเวลาที่สังคมอเมริกัน ยังเต็มไปด้วยการแบ่งแยกสีผิว เขาผ่านทั้งระบบมัธยมที่ไม่ต่อเนื่อง ก่อนจะไปสร้างชื่อในระดับมหาวิทยาลัยกับ College of Idaho และ Seattle University จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่โดดเด่นที่สุดของประเทศในยุคนั้น

ในปี 1958 Minneapolis Lakers เลือกเขาด้วยดราฟต์อันดับ 1 โดยหวังให้เขาเป็นเสาหลักพาทีมรอดจากวิกฤตทั้งในสนาม และนอกสนาม นั่นไม่ใช่แค่การเลือกผู้เล่น แต่คือการเลือก “ทิศทางใหม่” ให้กับแฟรนไชส์ และกับตัวลีกเองด้วย ตลอด 14 ฤดูกาลกับ Minneapolis / Los Angeles Lakers เขาลงเล่น 846 เกม

ทำได้เฉลี่ย 27.4 แต้ม 13.5 รีบาวด์ และ 4.3 แอสซิสต์ต่อเกม เป็น 11 สมัย All-Star และ 10 สมัย All-NBA First Team สถิติเหล่านี้ไม่ได้บอกแค่ความสม่ำเสมอ แต่สะท้อนว่าศักยภาพเชิงรุกของเขา อยู่ในระดับที่ทีมต้องสร้างระบบรอบตัวเขาจริงๆ (30 พฤศจิกายน 2025) [1]

เมื่อเกมเริ่มลอยขึ้นจากพื้น สไตล์การเล่นที่เกิดก่อนเวลา

ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่

ถ้าเราถอยกลับไปมองเกมบาส ก่อนยุคของเบย์เลอร์ ภาพรวมจะเต็มไปด้วยการเคลื่อนที่บนพื้น การจบสกอร์แบบตรงไปตรงมา ไม่ค่อยมีใครเล่นกับ “มุมในอากาศ” มากนัก แต่เมื่อเบย์เลอร์เข้ามา เกมกลับเริ่มขยับขึ้นจากพื้นอย่างชัดเจน เขามีสไตล์การเล่นที่ผสมระหว่างพละกำลัง และจินตนาการ การกระโดดลอยตัว แล้วเปลี่ยนทิศกลางอากาศ

การชะลอจังหวะเพื่อรอให้เกมรับตกใจ การหมุนตัว จับบอล เปลี่ยนมือ และจบสกอร์จากมุมที่ดูเหมือนจะไม่มีช่องเลย สิ่งเหล่านี้ในยุคนั้น แทบไม่มีใครทำได้ต่อเนื่องเท่าเขา เกม 71 แต้มในปี 1960 และ 61 แต้มใน NBA Finals ปี 1962 ไม่ใช่แค่ตัวเลขหวือหวา แต่มันคือการแสดงให้เห็นว่า ผู้เล่นปีกคนหนึ่ง สามารถแบกภาระเกมรุกทั้งทีมได้

การจบสกอร์ของเขา ใช้การควบคุมร่างกาย เวลา และมุมกระทบห่วงที่เหนือยุคของตัวเองมาก ถ้าพูดในภาษาบาสยุคใหม่ เบย์เลอร์คือ “ต้นแบบของ shot creation จากปีก” ที่สามารถสร้างจังหวะเองได้ เขาไม่ได้รอระบบสร้างจังหวะให้ แต่ใช้ระบบเป็นพื้นฐาน แล้วดึงเกมขึ้นอีกชั้น ด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง (1 กุมภาพันธ์ 2025) [2]

การคว่ำบาตรในปี 1959 และเสียงที่ยังสะท้อนมาถึงวันนี้

ความสำคัญของเอลกิน เบย์เลอร์ไม่ได้จบลงที่เรื่องในสนาม ในปี 1959 ระหว่างฤดูกาลรุกกี้กับ Minneapolis Lakers เขาตัดสินใจไม่ลงเล่นเกมในเมือง Charleston, West Virginia เนื่องจากโรงแรมในพื้นที่ ปฏิเสธไม่ให้เขา และเพื่อนร่วมทีมผิวดำพักร่วมกับคนอื่น การปฏิเสธลงเล่นในวันนั้นเป็นเหมือน “การคว่ำบาตรส่วนตัว”

ที่ส่งเสียงชัดเจนว่า เขาอาจรักบาส แต่ไม่ยอมให้เกมกลายเป็นข้อแลกเปลี่ยน กับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเอง เหตุการณ์นี้ถูกพูดถึงในภายหลังว่า เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการใช้กีฬา เป็นเวทีเรียกร้องความเท่าเทียมใน NBA เมื่อมองจากปัจจุบัน เราจะเห็นนักกีฬาอย่าง LeBron James, Stephen Curry หรือผู้เล่นรุ่นใหม่หลายคน

ใช้แพลตฟอร์มของตัวเองในการพูดถึงประเด็นสังคม การเมือง สิ่งนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกัน ถ้าในยุคแรกๆไม่มีใครกล้าทำ ดังนั้น เมื่อเราพูดว่าเขาเป็น “ผู้เปิดประตูให้บาสยุคใหม่” ประตูนั้นไม่ใช่แค่ด้านสไตล์การเล่น แต่รวมถึงประตูของการที่นักกีฬา ยืนหยัดในเรื่องศักดิ์ศรี และความยุติธรรมด้วย

ปีที่ยากลำบากกับ Clippers มุมที่เบย์เลอร์ถูกวิจารณ์

ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่

หลังจากแขวนรองเท้า เบย์เลอร์ไม่ได้หายไปจากวงการ เขาเข้าไปเป็นผู้บริหารให้ Los Angeles Clippers ยาวนานกว่า 20 ปี ในบทบาท General Manager ช่วงที่แฟรนไชส์นี้ยังเป็นทีมที่ถูกมองว่า “แพ้จนชิน” อยู่บ่อยครั้ง ผลงานของคลิปเปอร์สในยุคนั้น ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่า เบย์เลอร์อาจไม่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้บริหาร

หลายดีลไม่เวิร์ก หลายปีทีมไม่เข้าเพลย์ออฟ และบรรยากาศในองค์กร ก็เต็มไปด้วยคำถาม สุดท้ายเขาก็จบลงด้วยการแยกทาง พร้อมฟ้องร้องทีมและลีก ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติและอายุ แม้คำตัดสินจะไม่ได้หันมาทางเขาในทุกประเด็น และทำให้เบย์เลอร์ถูกพูดถึงด้วยโทนที่ซับซ้อน (26 เมษายน 2014) [3]

ความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีแหวน และการเปรียบเทียบที่ไม่เป็นธรรม

หนึ่งในคำวิจารณ์ที่ผูกกับชื่อของเบย์เลอร์เสมอคือ เขาไม่เคยได้แหวนแชมป์ NBA เลย ทั้งที่พาทีมเข้าชิงหลายครั้ง และมีช่วงปีพีคที่ตัวเองเล่นในระดับ MVP อย่างชัดเจน ปัญหาคือ เขาเล่นอยู่ในยุคที่บอสตัน เซลติกส์มี จักรพรรดิ แห่งชัยชนะนิรันดร์ อย่างบิล รัสเซล ผู้สร้างราชวงศ์ที่แข็งแกร่งระดับประวัติศาสตร์

การจะตัดสินคุณค่าของผู้เล่นคนหนึ่งจาก “จำนวนแหวน” เพียงอย่างเดียว จึงกลายเป็นการวัดที่ไม่ยุติธรรม กับผู้เล่นในยุคที่ต้องเจอกับทีมระดับตำนานแบบนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเมื่อมองด้วยเลนส์บาสยุคใหม่ เราจะเริ่มเห็นมากขึ้นว่า คุณค่าของผู้เล่นไม่ได้วัดจากแชมป์อย่างเดียว แต่รวมถึง ระดับการเล่นเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมยุค

วิธีที่เขาเปลี่ยนเกม หรือสร้าง archetype ใหม่ให้ตำแหน่งของตัวเอง และมรดกเชิงไอเดียที่ยังถูกใช้ต่อไปอีกหลายรุ่น ในแง่นี้เอลกิน เบย์เลอร์อยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้เล่นอย่าง Charles Barkley, Karl Malone, Steve Nash หรือ Chris Paul คนที่อาจไม่มีแหวน แต่มีบทบาทสำคัญต่อวิวัฒนาการของเกมชัดเจนมาก

เมื่อโลกเริ่มให้เครดิตกับต้นทางมากขึ้น

แม้เอลกิน เบย์เลอร์จะจากไปแล้วในปี 2021 แต่ชื่อของเขายังคงถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ ทั้งในมุมตำนานของ Lakers และในฐานะต้นแบบของ scoring wing ที่เกิดก่อนเวลา การที่สถาบันเก่า, ทีมเก่า, และสื่อเริ่มหันกลับมาเล่าเรื่องของเขามากขึ้น คือสัญญาณว่า โลกบาสยุคนี้เริ่มให้ความสำคัญกับ “คนที่เป็นทางผ่าน” ไม่แพ้ “คนที่เก็บเกี่ยว”

เขาอาจไม่ได้อยู่ในยุคของโซเชียลมีเดีย หรือยุคที่ทุกจังหวะมีภาพคมชัด แต่คลื่นที่เขาสร้างไว้ ยังสะท้อนผ่านผู้เล่นรุ่นปัจจุบันอย่างชัดเจน และในเชิงภาพรวมของประวัติศาสตร์ NBA ถ้าเรามองหาจุดที่เกมเริ่มเปลี่ยนจาก กีฬาบนพื้น สู่เกมสามมิติที่ใช้ทั้งพื้นและอากาศ ชื่อของเบย์เลอร์คือหนึ่งในพิกัดสำคัญบนไทม์ไลน์ของ NBA

บทสรุป ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่ ประตูที่ยังไม่เคยปิดลง

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เปิดประตู ให้บาสยุคใหม่ “เอลกิน เบย์เลอร์” คือหนึ่งในชื่อที่ถ้าดูแค่แหวน หรือไฮไลต์สั้นๆ เขาอาจถูกมองข้ามได้ง่าย แต่ถ้าเรามองลึกลงไปว่า เกมบาสเคลื่อนที่จากพื้นขึ้นไปในอากาศได้อย่างไร และนักกีฬากลายเป็นเสียงสำคัญ ในประเด็นสังคมตั้งแต่เมื่อไหร่ เราจะพบชื่อของเขาอยู่ในจุดเปลี่ยนหลายจุดเสมอ

ทำไมเบย์เลอร์ถึงถูกเรียกว่าผู้เปิดประตูให้บาสยุคใหม่ ?

เพราะเอลกิน เบย์เลอร์เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เกมรุกสามารถใช้ “อากาศ” เป็นพื้นที่ทำงานได้จริง เขาสร้างจังหวะจบสกอร์กลางอากาศที่ซับซ้อน ใช้ hang time และ body control ในยุคที่แทบไม่มีใครทำแบบนั้นมาก่อน ส่งอิทธิพลต่อผู้เล่นรุ่นต่อมาแทบทุกสาย scoring wing

สถิติไหนที่บอกระดับความยิ่งใหญ่ของเบย์เลอร์ได้ชัดที่สุด ?

เฉลี่ยตลอดอาชีพ 27.4 แต้ม 13.5 รีบาวด์ และ 4.3 แอสซิสต์ต่อเกม บวกกับเกม 71 แต้มในฤดูกาลปกติ และ 61 แต้มใน NBA Finals คือหลักฐานว่า เบย์เลอร์ไม่ได้เป็นแค่คนที่เล่นสวยๆ แต่มีประสิทธิภาพระดับหัวแถวของยุคอย่างแท้จริง

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง