ผู้ให้กำเนิด Showtime ที่เปลี่ยนคอร์ทเป็นเวทีมายากล

ผู้ให้กำเนิด Showtime

ผู้ให้กำเนิด Showtime เมจิก จอห์นสัน (Magic Johnson) คือพอยต์การ์ดที่พลิกนิยามตำแหน่งการ์ด เปลี่ยน Lakers ให้กลายเป็นยุคทองแห่งความบันเทิง และต่อยอดอิทธิพล สู่การเป็นเจ้าของทีม และนักธุรกิจระดับพันล้าน บทความนี้จะพาไปเจาะลึกต้นกำเนิดของยุคโชว์ไทม์

  • เจาะลึกยุคโชว์ไทม์ของเลเกอส์
  • โปรไฟล์ และสไตล์การเล่นของเมจิก จอห์นสันโดยย่อ
  • บทบาทนอกสนามของเมจิก จอห์นสันในฐานะนักธุรกิจผิวสี

ประสบการณ์ที่ยกระดับการชมบาส ให้เป็นความบันเทิง

เมื่อคนพูดถึงคำว่า “Showtime” ภาพแรกที่ลอยขึ้นมาในหัวของแฟนบาสทั่วโลก มักไม่ใช่โลโก้ทีม ไม่ใช่หน้าเจ้าของสโมสร แต่คือรอยยิ้ม และการส่งบอลแบบไม่มองของชายคนหนึ่ง Earvin “Magic” Johnson Jr. เขาไม่ใช่แค่พอยต์การ์ดระดับตำนานของ Los Angeles Lakers

แต่คือคนที่ทำให้บาสเกตบอลยุค 80s กลายเป็นโชว์ที่ทั้งโลกต้องหันมามอง เปลี่ยนเกมจากการแข่งขันแบบเคร่งขรึม ให้กลายเป็นประสบการณ์ความบันเทิงครบทุกมิติ และในเวลาเดียวกัน ชีวิตของเขานอกสนาม ก็เต็มไปด้วยจุดหักมุม การถูกวิจารณ์ และการกลับมาในบทบาทใหม่ ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

จาก Lansing สู่หัวใจแห่งลอสแอนเจลิส

เมจิก จอห์นสันเกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1959 ที่ Lansing, Michigan เติบโตมากับบาสเกตบอลข้างถนน และโรงเรียนมัธยม ก่อนก้าวสู่เวทีใหญ่กับ Michigan State University ในฐานะการ์ดตัวนำเกม ที่มีทั้งความสูง การมองเห็นสนาม และความนิ่งเกินวัย การพาทีมคว้าแชมป์ NCAA ปี 1979

พร้อมดวลกับ เพลย์เมกเกอร์ ผู้ซ่อนความโหด อย่างแลร์รี เบิร์ด ในเกมชิงแชมป์ระดับมหาวิทยาลัย ในปีเดียวกันนั้นเอง ที่จอห์นสันถูกดราฟต์อันดับ 1 โดยลอสแอนเจลิส เลเกอส์ และนั่นคือจุดที่เส้นเรื่องของ “เด็กจาก Lansing” เชื่อมต่อเข้ากับเมืองแห่งแสงไฟ Hollywood และเจ้าของทีมคนใหม่ ที่อยากเปลี่ยนบาสให้กลายเป็นโชว์

จอห์นสันสูง 6 ฟุต 9 นิ้ว เล่นตำแหน่งพอยต์การ์ด ในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการ์ดต้องตัวเล็ก รวดเร็ว แต่เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความสูง + วิสัยทัศน์ + ความเข้าใจเกม สามารถสร้างรูปแบบการเล่นแบบใหม่ ที่ไม่เคยถูกจินตนาการมาก่อนใน NBA (1 ธันวาคม 2025) [1]

จุดกำเนิด “โชว์ไทม์” เมื่อทุกฝ่ายคิดตรงกัน

ผู้ให้กำเนิด Showtime

คำว่าโชว์ไทม์ไม่ได้เกิดจากเมจิก จอห์นสันคนเดียว แต่มาจากการที่ปัจจัยหลายอย่าง “ลงล็อกเข้าที่” พร้อมกัน Jerry Buss เจ้าของทีมคนใหม่ของเลเกอส์ในปี 1979 ไม่ได้ต้องการแค่ทีมที่ชนะ แต่ต้องการทีมที่ “ขายประสบการณ์” เขาอยากให้ทุกเกมของเลเกอส์เป็นงานอีเวนต์ เป็นค่ำคืนแห่งความบันเทิง ที่คนอยากแต่งตัวดีๆมาดู

  • เขาผลักดันแนวคิดการเล่นสไตล์เร็ว จังหวะสูง เน้น fast break เน้นการวิ่ง เน้นลูกจ่ายที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ พร้อมกับเสริมองค์ประกอบนอกสนาม ทั้งเชียร์ลีดเดอร์ แบนด์ดนตรี ที่นั่ง Celebrity Row ข้างสนาม
  • ในสนามของเลเกอส์มี คารีม อับดุล-จับบาร์ เป็นเสาหลักเกมโพสต์ และมีเมจิก จอห์นสันเข้ามาเป็นตัวคุมจังหวะใน Transition ส่วนผสมนี้เอง ทำให้ทีมสามารถเล่นได้ทั้งเร็ว และมีตัวจบเกมที่ไว้ใจได้ในครึ่งสนาม
  • โชว์ไทม์จึงไม่ได้เป็นเพียง “ยุค” แต่คือ Concept ของทีม ที่ตั้งใจให้เกมบาสเกตบอลเป็นทั้งกีฬา และการแสดง และเมจิก จอห์นสันคือคนที่แปลงวิสัยทัศน์นั้น ให้เกิดขึ้นจริงในทุกค่ำคืน (2 มีนาคม 2022) [2]

จุดเปลี่ยนของการกลายเป็นสัญลักษณ์สาธารณะ

ผู้ให้กำเนิด Showtime

วันที่ 7 พฤศจิกายน 1991 จอห์นสันประกาศต่อโลกว่าเขาติดเชื้อ HIV และจะเลิกเล่นบาสทันที เหตุการณ์นี้สะเทือนทั้งวงการกีฬา และความเข้าใจของสังคมต่อโรคนี้ ในระดับที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ในยุคนั้น HIV ถูกผูกกับความกลัว การตีตรา และความเข้าใจผิด

จอห์นสันเลือกเปิดเผยตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับว่าพฤติกรรมเสี่ยง จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจำนวนมาก คือสาเหตุสำคัญ และหันมาใช้ชื่อเสียงของตัวเอง ในการรณรงค์เรื่องความปลอดภัย และการเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ (7 พฤศจิกายน 2021) [3]

การกลับมาเล่นใน All-Star Game ปี 1992 และการลงเล่นให้ Dream Team ในโอลิมปิก บาร์เซโลนา กลายเป็นจุดสำคัญของการช่วยท้าทาย ความกลัวของผู้คนที่ไม่เข้าใจโรค ภาพของจอห์นสันที่ยังยิ้มได้ ยังแข่งขันได้ และยังมีชีวิตที่มีคุณค่า ถูกใช้เป็น “ภาษาใหม่” ในการพูดถึงผู้ติดเชื้อ HIV ว่าพวกเขา ไม่ใช่คนที่ต้องถูกกันออกจากสังคม

จากพอยต์การ์ดสู่เจ้าของทีม และมหาเศรษฐีด้านกีฬา

หลังอำลาบาสระดับสูง จอห์นสันไม่ได้หายไปจากวงการกีฬา แต่เปลี่ยนตำแหน่งจากคนในสนาม มาเป็นคนที่นั่งอยู่เหนือสนาม เขาสร้าง Magic Johnson Enterprises ขึ้นมา ขยายไปสู่ธุรกิจหลากหลาย ทั้งร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส ประกันชีวิต และต่อยอดด้วยการเข้าไปถือหุ้น ในทีมกีฬาอาชีพหลายประเภท

จากคนที่เคยทำให้เลเกอส์ชนะในสนาม วันนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง ownership ที่พาทีมต่างๆคว้าแชมป์ในลีกของตัวเอง ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้ภาพของเมจิก จอห์นสันขยายจากตำนานนักบาส ไปสู่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนชัยชนะในสนาม ให้กลายเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจรอบกีฬา

ในระดับสังคม เขาถูกมองเป็นหนึ่งในนักธุรกิจผิวสี ที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ และได้รับเกียรติระดับชาติจากผลงานทั้งในสนาม และนอกสนาม การเดินทางจากเด็ก Lansing ที่รักบาส ไปสู่มหาเศรษฐีเจ้าของทีม คือโชว์ไทม์เวอร์ชันชีวิตจริง ที่ไม่ได้ดับไปพร้อมเสียงนกหวีดสุดท้าย

โชว์ไทม์ในฐานะ “ภาษาทางสังคม”

สิ่งที่น่าสนใจคือโชว์ไทม์ไม่ได้เปลี่ยนแค่บาส แต่มันเปลี่ยนวิธีที่ผู้คน มองความเป็นไปได้ของคนผิวสีในเมืองใหญ่ และเมจิก จอห์นสันไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้กำเนิดโชว์ไทม์ในสนาม แต่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้กีฬาอาชีพ เชื่อมต่อกับเศรษฐกิจ ความฝัน และอัตลักษณ์ของผู้คน ในแบบที่ลึกซึ้งกว่าการชูถ้วยแชมป์

  • จอห์นสันคือคนผิวสี ที่เป็นหน้าเป็นตาของแฟรนไชส์ระดับเมือง และถูกมองว่าเป็นพาร์ตเนอร์ทางวัฒนธรรมของ Hollywood
  • ความสำเร็จของเขานอกสนาม ในฐานะเจ้าของกิจการ และเจ้าของทีมกีฬา ช่วยเล่าเรื่องใหม่ว่า นักกีฬาไม่ได้จำเป็นต้องจบเส้นทาง ไว้ที่การเป็นผู้เล่น หรือโค้ชเท่านั้น
  • โชว์ไทม์ทำให้เลเกอส์กลายเป็น “แบรนด์ของเมือง” ที่คนผูกตัวตนเข้ากับมัน เหมือนผูกกับหนัง เพลง หรือศิลปิน

บทสรุป ผู้ให้กำเนิด Showtime คำในพจนานุกรม NBA

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ให้กำเนิด Showtime “เมจิก จอห์นสัน” เป็นมากกว่านักบาสระดับตำนาน เขาคือคนที่เปลี่ยนบาส ให้กลายเป็นภาษาหนึ่งของเมืองลอสแอนเจลิส และของ NBA ทั้งลีก โชว์ไทม์อาจเป็นเพียงยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่วิธีคิดแบบ “เล่นให้ชนะ + เล่นให้สวย + เล่นให้คนดูอยากกลับมาอีก” ยังคงอยู่ในเกมจนถึงทุกวันนี้

ทำไมเมจิก จอห์นสันถึงถูกมองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดโชว์ไทม์ ?

เพราะเมจิก จอห์นสันคือคนที่อยู่กลางทุกจังหวะของเกม เขาคุมบอล เปิดเกมเร็ว สร้างไฮไลต์ และทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นได้ง่ายขึ้น โชว์ไทม์จะไม่เกิดถ้าขาด Kareem Abdul-Jabbar หรือโค้ชอย่าง Pat Riley แต่คนที่ทำให้ภาพรวมทั้งหมดไหลคือจอห์นสัน

ถ้าไม่มีจอห์นสัน โชว์ไทม์จะยังเกิดไหม ?

เราอาจได้เห็นเลเกอส์เล่นเกมเร็วอยู่ดี จากวิสัยทัศน์ของ Jerry Buss และทีม แต่ความรู้สึกแบบ “นี่คือโชว์ไทม์” การที่ทั้งสนามลุกขึ้นพร้อมกัน หลังจังหวะเดียว ความต่อเนื่องของไฮไลต์ และความรู้สึกว่าเกมนี้คือโชว์ของจริงๆ สิ่งเหล่านั้นแทบจะแยกออกจากชื่อของเมจิก จอห์นสันไม่ได้

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง