นี่คือคำตอบ พืชอะไรที่มี Theobromine สูง

พืชอะไรที่มี Theobromine สูง

พืชอะไรที่มี Theobromine สูง เป็นประเด็นที่หลายคน อาจคุ้นจากการได้ยินว่าอยู่ในโกโก้ หรือช็อกโกแลต แต่จริงๆแล้วสารนี้ เป็นองค์ประกอบจากธรรมชาติ ที่พบได้ในพืชหลายชนิด และมักถูกพูดถึง ในด้านของรสชาติ และความรู้สึกที่ได้หลังจากที่รับประทาน จึงเป็นเหตุผลที่คนจำนวนมาก ชอบเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีธีโอโบรมีนโดยไม่รู้ตัว

  • ธีโอโบรมีน คืออะไร?
  • พืชที่มีธีโอโบรมีนสูง
  • ประโยชน์ของธีโอโบรมีน

ประวัติ สารธีโอโบรมีน การค้นพบครั้งแรก

สารธีโอโบรมีนถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1841 โดยนักเคมีชาวรัสเซียชื่อ A. Woskresensky ซึ่งทำการแยกสารนี้ออกจากเมล็ดโกโก้ และตั้งชื่อว่าสาร Theobromine ตามชื่อสกุลพืช Theobroma ที่มีความหมายจากภาษากรีกว่า แปลว่าอาหารของเทพเจ้า การค้นพบครั้งนี้ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจองค์ประกอบทางเคมี ของโกโก้มากขึ้น

โดยเฉพาะบทบาทของโกโก้ สารในกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีผลต่อระบบประสาท และความรู้สึกของผู้บริโภค ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความรู้เกี่ยวกับธีโอโบรมีน ก้าวหน้ามากขึ้น เมื่อในปี 1882 Hermann Emil Fischer นักเคมีชาวเยอรมัน สามารถสังเคราะห์ธีโอโบรมีนได้ จากสารต้นแบบในกลุ่ม xanthine

ซึ่งนำไปสู่การศึกษาเปรียบเทียบกับคาเฟอีนและสาร Methylxanthine อื่นๆ ทำให้เข้าใจคุณสมบัติ ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง การขยายหลอดเลือด และผลต่อหัวใจได้ชัดเจนขึ้น งานของ Fischer ยังมีส่วนช่วยวางรากฐานทางเคมี สำหรับการวิเคราะห์ และสังเคราะห์สารอัลคาลอยด์ ในยุคต่อมาอีกด้วย (20 ตุลาคม 2025) [1]

สารธีโอโบรมีน คืออะไร?

ธีโอโบรมีนคือสารประกอบตามธรรมชาติ ที่พบมากในเมล็ดโกโก้ และจึงพบได้ในช็อกโกแลต แทบทุกชนิดโดยเฉพาะ dark chocolate สารนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับ Caffeine แต่มีฤทธิ์กระตุ้นที่อ่อนกว่า ทำให้ไม่ทำให้ใจสั่น หรือกระสับกระส่าย ธีโอโบรมีนมีรสขมเล็กน้อย และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ ที่ช่วยสร้างกลิ่น

และสร้างรสเฉพาะตัวของช็อกโกแลต ที่หลายคนชื่นชอบ ในร่างกาย ธีโอโบรมีนมีบทบาท ช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวแบบไม่แรงเกินไป เพิ่มการไหลเวียนเลือด ผ่านการขยายหลอดเลือด และยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะเล็กน้อย จึงให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี แต่ยังคงมีสมาธิ (29 มิถุนายน 2023) [2]

งานวิจัยประโยชน์ของธีโอโบรมีน

งานวิจัยสรุปว่าธีโอโบรมีน มีผลต่อระบบประสาท หลอดเลือด และการลดการอักเสบในร่างกาย ในภาพรวมคนทั่วไปได้รับธีโอโบรมีนประมาณ 30–60 มก./วัน และมีข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจว่า ผู้ที่ได้รับมากกว่า 60 มก./วัน มีความเสี่ยง ต่อภาวะจอประสาทตาเสื่อมลดลง

โดยพบค่าอัตราส่วนโอกาสอยู่ที่ ประมาณ 0.31 แปลว่าความเสี่ยงลดลง ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้ การทดลองระดับเซลล์ ยังพบว่าที่ความเข้มข้นประมาณ 500 µM theobromine สามารถช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยรวมแล้วธีโอโบรมีน อาจช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด การทำงานของสมอง

ช่วยลดการอักเสบ และอาจลดไขมันบางส่วน แต่งานวิจัยย้ำว่าหลักฐานในมนุษย์ ยังไม่มากพอที่จะสรุปในเชิงการรักษาโดยตรง ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยคือ รับจากอาหารตามธรรมชาติ เช่นโกโก้ที่ไม่หวาน หรือดาร์กช็อกโกแลต ที่มีเปอร์เซ็นต์โกโก้สูง แทนการใช้ในรูปแบบอาหารเสริมปริมาณสูง (เมษายน 2024) [3]

พืชอะไรบ้างที่มีธีโอโบรมีนสูง?

พืชอะไรที่มี Theobromine สูง

พืชที่มีธีโอโบรมีนสูง พร้อมปริมาณต่อ 100 กรัม มีดังนี้

  • ผงโกโก้ มีธีโอโบรมีนปริมาณประมาณ 1,000–3,000 มก. ถือว่าเป็นแหล่งธีโอโบรมีนที่เข้มข้นที่สุด เพราะผ่านการบดเมล็ดโกโก้ และแยกไขมันบางส่วนออก ทำให้สารออกฤทธิ์ อย่างธีโอโบรมีนยังคงอยู่สูง นิยมใช้ทำเครื่องดื่ม หรือเบเกอรี่ แต่รสจะเข้ม และค่อนข้างขม
  • เมล็ดโกโก้ และโกโก้นิบส์ มีธีโอโบรมีนปริมาณประมาณ 800–1,200 มก. เป็นโกโก้ในรูปใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด มีทั้งไขมัน โพลีฟีนอล และธีโอโบรมีนในระดับสูง รสเข้ม และออกฝาดเล็กน้อย มักใช้โรยบนโยเกิร์ต
  • ดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป มีธีโอโบรมีนประมาณ 200–800 มก. ยิ่งเปอร์เซ็นต์โกโก้สูง ธีโอโบรมีนยิ่งมาก ดาร์กช็อกโกแลต จึงให้ทั้งรสเข้ม และมีโพลีฟีนอลสูง แต่ควรเลือกสูตรน้ำตาลต่ำ เพื่อลดพลังงานส่วนเกิน
  • ช็อกโกแลตนม ปริมาณ มีธีโอโบรมีนประมาณ 60–200 มิลลิกรัม ธีโอโบรมีนน้อยกว่าดาร์กช็อกโกแลต เพราะปริมาณโกโก้น้อยกว่า และมีน้ำตาล รวมถึงนมผสมมากขึ้น รสหวาน กินง่าย แต่สารออกฤทธิ์ลดน้อยลง
  • ใบชาเขียวและชาดำ มีธีโอโบรมีนประมาณ 100–500 มิลลิกรัม ธีโอโบรมีนในใบชาไม่สูงเท่าโกโก้ แต่ยังพบปริมาณที่ช่วยเสริมฤทธิ์กระตุ้นเบาๆ ควบคู่กับคาเฟอีน เมื่อนำมาชง ปริมาณที่ได้รับจริงจะลดลงตามอัตราการละลาย
  • Yerba mate มีธีโอโบรมีน 20–40 มก. แม้จะมีธีโอโบรมีนในระดับต่ำ แต่โดดเด่นเรื่องคาเฟอีนมากกว่า เครื่องดื่มนี้ให้ความกระปรี้กระเปร่า และเป็นที่นิยมในอเมริกาใต้

ประโยชน์ของธีโอโบรมีน คืออะไร?

  • กระตุ้นระบบประสาทแบบอ่อนโยน ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและโฟกัสดีขึ้น แต่ไม่ทำให้ใจสั่นเท่าคาเฟอีน จึงเหมาะกับคนที่ไวต่อคาเฟอีน
  • ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดเล็กน้อย ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งสัมพันธ์กับสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น
  • ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ พบว่าช่วยลดความเครียดออกซิเดชันในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเสื่อม ของเนื้อเยื่อต่างๆ
  • มีแนวโน้มช่วยด้านการเผาผลาญไขมัน งานวิจัยบางส่วนชี้ว่ามีผลต่อการเปลี่ยนไขมัน ให้เผาผลาญได้ง่ายขึ้น จึงอาจช่วยในการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว
  • อาจลดความเสี่ยง โรคจอประสาทตาเสื่อม ผู้ที่บริโภคประมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป พบว่ามีโอกาสเกิด AMD ลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับน้อยกว่า

ข้อควรระวังของธีโอโบรมีนคืออะไร?

  • อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือไวต่อสารกระตุ้น ควรระมัดระวังปริมาณ
  • อาจรบกวนการนอน ถ้ารับประทานช่วงเย็น หรือดึก แม้ฤทธิ์จะอ่อนกว่าคาเฟอีน แต่ยังมีผลต่อระบบประสาทอยู่
  • ข้อมูลด้านปริมาณสูง ในรูปแบบอาหารเสริม ยังไม่ชัดเจน หลักฐานส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับการทดลอง จึงควรเน้นรับจากอาหารธรรมชาติ เช่นดาร์กช็อกโกแลต หรือผงโกโก้แท้
  • เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข และแมว ร่างกายสัตว์สลายธีโอโบรมีน ได้ช้ากว่ามนุษย์มาก อาจทำให้เกิดพิษ ถึงขั้นชักหรือเสียชีวิตได้

พืชอะไรที่มีธีโอโบรมีนสูง กล่าวโดยสรุป

ธีโอโบรมีนเป็นสารตามธรรมชาติ ที่พบมากที่สุด ในพืชตระกูลโกโก้ เช่นผงโกโก้ เมล็ดโกโก้ โกโก้นิบส์ และดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณมากที่สุด รองลงมาคือใบชาเขียว ชาดำ และใบ Yerba mate ที่มีเล็กน้อย สารนี้มีฤทธิ์กระตุ้นเบาๆ ช่วยให้อารมณ์สงบ แต่มีสมาธิ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และช่วยลดการอักเสบ

ใครที่ควรระวังธีโอโบรมีนเป็นพิเศษ?

ผู้ที่ควรระมัดระวังการบริโภคธีโอโบรมีนเป็นพิเศษ ได้แก่คนที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือความดันโลหิตไม่คงที่ เพราะธีโอโบรมีนอาจมีผลกระตุ้นหัวใจเล็กน้อย นอกจากนี้ คนที่นอนหลับยาก หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน ก็ควรเริ่มจากปริมาณทีละน้อย เพื่อลองสังเกตอาการ

ทานธีโอโบรมีนยังไงให้ได้ประโยชน์?

ควรเลือกแหล่งที่มาจากโกโก้บริสุทธิ์ หรือดาร์กช็อกโกแลต ที่มีเปอร์เซ็นต์สูง เพื่อให้ได้ธีโอโบรมีน และโพลีฟีนอลมากกว่า โดยแนะนำผงโกโก้ไม่หวาน 1–2 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน หรือดาร์กช็อกโกแลต ประมาณ 1–2 ชิ้นราว 20–40 กรัมต่อวัน ก็เพียงพอสำหรับสมอง และการไหลเวียนเลือด และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือครีมเทียม

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง