
ค้นหา รสชาติ แชมเปญ ประสบการณ์ ฟองฟู่ที่หรูหรา
- ผีเสื้อสีขาว
- 7 views

รสชาติ แชมเปญ สปาร์กลิงไวน์จากฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราและการเฉลิมฉลอง แต่ละขวดมอบประสบการณ์รสชาติที่ซับซ้อน ซึ่งไม่เพียงแค่ฟองฟู่บนปากแก้ว แต่รวมถึงความสมดุลของรสชาติ ความเปรี้ยว ความหวาน และกลิ่นหอมขององุ่น
- รสชาติขึ้นกับองุ่น, ดิน, ภูมิอากาศ และเทคนิคผลิต
- การชิมต้องสังเกตฟอง, กลิ่น และรสชาติอย่างละเอียด
- มีรสแร่ธาตุสะท้อนดิน Champagne
- สดชื่นและเปรี้ยวกระปรี้กระเปร่า
แชมเปญแต่ละสไตล์ รสชาติแตกต่าง กันอย่างไร?
ความพิเศษของแชมเปญอยู่ที่ ภูมิศาสตร์และสภาพอากาศ ของเขต Champagne ซึ่งส่งผลต่อรสชาติ ทำให้เครื่องดื่มนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองและความหรูหรา ผู้ชื่นชอบแชมเปญจึงมักมองหา รสชาติที่ละเอียดอ่อนและความซับซ้อน ในทุกแก้วที่ดื่ม
รสชาติหลักของแชมเปญ
1.เปรี้ยวสดชื่น (Acidity): แชมเปญมีความเปรี้ยวค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยให้รสชาติสดชื่น กระตุ้นความอยากอาหาร และทำให้รู้สึกเบาสบายบนลิ้น ความเปรี้ยวนี้มาจากองุ่นที่ปลูกในเขต Champagne ซึ่งมีดินแร่และภูมิอากาศเย็น
2.หวานหรือแห้ง (Sweetness): ระดับความหวานของแชมเปญแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น
- Brut Nature / Extra Brut: แห้งมาก น้ำตาลน้อย แชมเปญที่ไม่มีการเติมน้ำตาลเลย สไตล์ที่สมดุล ดื่มง่ายแต่หรูหรา (9 มิถุนายน 2025) [1]
- Brut: แห้ง แต่มีความสมดุล แชมเปญที่มีน้ำตาลหลงเหลือหลังการหมัก ไม่เกิน 12 กรัมต่อลิตร (9 มิถุนายน 2025) [1]
- Demi-Sec: ค่อนข้างหวาน เหมาะกับขนมหวาน
3.กลิ่นและรสผลไม้ (Fruitiness): รสชาติ แชมเปญ มักมีโน้ตผลไม้ เช่น แอปเปิ้ลเขียว ส้ม เบอร์รี่ หรือลูกแพร์ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์องุ่นและวิธีการผลิต
4.รสชาติของยีสต์และเบเกอรี่ (Yeast & Toast): เนื่องจากการหมักในขวด แชมเปญมักมีรสโน้ตของขนมปังปิ้ง ครีม เบเกอรี่ หรือคาราเมล รสเหล่านี้เพิ่มความซับซ้อนและความอบอุ่นให้กับเครื่องดื่ม
5.รสชาติของแร่ธาตุ (Minerality): บางแชมเปญมีรสชาติคล้ายแร่ธาตุหรือหินปูน ซึ่งสะท้อนถึงดินและภูมิอากาศของเขต Champagne ทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำ
การเลือก สไตล์แชมเปญ ตามโอกาส
แชมเปญมีหลายสไตล์ แต่ละสไตล์มี รสชาติและความซับซ้อนแตกต่างกัน ซึ่งเหมาะกับโอกาสและรสนิยมที่ต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น
Brut, Extra Brut และ Non-Vintage
- Brut: เป็นสไตล์ที่พบมากที่สุด รสชาติแห้ง มีความเปรี้ยวเล็กน้อย เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารคาว เช่น ซีฟู้ดหรืออาหารฝรั่งเศส
- Extra Brut: แห้งมากกว่า Brut รสชาติน้อยหวาน เหมาะกับผู้ที่ชอบแชมเปญเข้มข้นและฟองละเอียด
- Non-Vintage (NV): ผลิตจากการผสมองุ่นหลายปี เพื่อให้รสชาติคงที่และสมดุล แม้ว่าจะไม่ได้ระบุปีผลิตเฉพาะ
Rosé Champagne – สีสันและรสชาติพิเศษ
- ที่มีสมดุลสูง มีกลิ่นหอมหวานของผลไม้ มี acidity สูง (15 พฤศจิกายน 2022) [2]
- แชมเปญสีชมพูนี้มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รีหรือเชอร์รี
- เริ่มได้รับความนิยมในปี ค.ศ. 1957 และเหมาะกับอาหารเบา เช่น สลัดหรือของหวานบางชนิด
Vintage และ Prestige Cuvée
- Vintage Champagne: ผลิตจากองุ่นในปีเดียวกัน มีรสชาติซับซ้อนและเต็มรส
- Prestige Cuvée: แชมเปญระดับพรีเมียม มีความหอมและรสชาติเข้มข้น มักเป็นที่นิยมในงานฉลองหรือโอกาสพิเศษ
- Vintage Champagne ของปี ค.ศ. 2017 ถือเป็นหนึ่งในปีที่มีคุณภาพสูงของเขต Champagne
ทำความรู้จัก กับแชมเปญ แบบสั้นๆ
รู้ไหม Champagne คืออะไร (แชมเปญ) เป็นสปาร์กลิงไวน์ชนิดพิเศษที่ผลิตเฉพาะใน เขต Champagne ของประเทศฝรั่งเศส เท่านั้น ทำจากองุ่นหลัก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Chardonnay, Pinot Noir และ Pinot Meunier กระบวนการผลิตแบบ Traditional Method หรือวิธีแบบดั้งเดิม ทำให้แชมเปญมีฟองละเอียด กลิ่นหอมซับซ้อน และรสชาติที่สมดุลระหว่างความเปรี้ยวและความหวาน
แชมเปญมีประวัติยาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1757 เมื่อ โดม แปร์นง (Dom Pérignon) นักบวชชาวฝรั่งเศสเริ่มพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้ฟองละเอียดและรสชาติสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของแชมเปญสมัยใหม่
ความพิเศษของแชมเปญอยู่ที่ ภูมิศาสตร์และสภาพอากาศของเขต Champagne ซึ่งส่งผลต่อรสชาติ ทำให้เครื่องดื่มนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองและความหรูหรา ผู้ชื่นชอบแชมเปญจึงมักมองหา รสชาติที่ละเอียดอ่อนและความซับซ้อน ในทุกแก้วที่ดื่ม
เคล็ดลับ การเลือกแชมเปญ รสไหนเหมาะกับคุณ?
การเลือกแชมเปญให้เหมาะกับโอกาสและรสนิยมส่วนตัวนั้นสำคัญมาก เพราะแชมเปญแต่ละสไตล์มีรสชาติและความซับซ้อนแตกต่างกัน นี่คือเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณเลือกได้อย่างมืออาชีพ
1. เลือกตามโอกาส
- สำหรับ งานฉลองหรืองานเลี้ยงใหญ่: แนะนำ Vintage Champagne หรือ Prestige Cuvée ที่มีรสชาติซับซ้อนและฟองละเอียด
- สำหรับ ดื่มแบบสบายๆ หรือจิบคู่ของว่าง: เลือก Brutหรือ Non-Vintage ที่ดื่มง่ายและเข้ากับอาหารหลายประเภท
2. เลือกตามอาหาร
- อาหารทะเลและซูชิ: เลือก Brutหรือ Extra Brutเพื่อความสดชื่นและความเปรี้ยวสมดุล
- ของหวานหรือผลไม้: เลือก Demi-Sec หรือ Rosé Champagne ที่มีรสหวานอ่อนๆ และกลิ่นผลไม้
3. เลือกตามปีผลิต (Vintage)
- Vintage Champagne จะสะท้อน สภาพอากาศและคุณภาพองุ่นของปีนั้น
- ตัวอย่างเช่น Vintage ปี 2019 เป็นปีที่องุ่นมีความสมดุลระหว่างรสเปรี้ยวและหวาน เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารฝรั่งเศส
4. เลือกตามความชอบส่วนตัว
- หากชอบ ฟองละเอียดและรสชาติซับซ้อน: มองหา Prestige Cuvée
- หากชอบ รสชาติสดชื่น ดื่มง่าย: เลือก Non-Vintage Brut
5. การทดลองและเรียนรู้
- ลองชิมแชมเปญหลายแบรนด์และหลายสไตล์เพื่อค้นหาสไตล์ที่ชอบ
- การสังเกตรสชาติ, ฟอง, และกลิ่น จะช่วยให้เลือกแชมเปญได้ตรงกับความชอบมากขึ้น
วิธีชิม แชมเปญอย่าง มืออาชีพ 5 ขั้นตอน
การชิมแชมเปญอย่างมืออาชีพไม่ได้เพียงแค่ดื่ม แต่เป็นการสังเกตรสชาติ กลิ่น และฟองอย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้เข้าใจความซับซ้อนของแชมเปญแต่ละสไตล์
1. สังเกตฟอง
- ฟองละเอียดและยาวนานเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพดี
- แชมเปญคุณภาพสูงมักมี ฟองเล็กและละเอียด
2. ดมกลิ่น
- หมุนแก้วเบาๆ แล้วสูดกลิ่น เพื่อสัมผัส กลิ่นผลไม้, ดอกไม้ และกลิ่นยีสต์
- กลิ่นซับซ้อนมักพบใน Vintage และ Prestige Cuvée
3. ชิมรสชาติ
- แบ่งรสชาติเป็น เปรี้ยว, หวาน, เค็ม, และรสอูมามิ
- สัมผัสรสชาติของแชมเปญหลายสไตล์ เช่น Brut, Rosé, Vintage
- ตัวอย่างเช่น Brutปี 2021 จะมีรสเปรี้ยวสดชื่นและฟองละเอียด
4. จับคู่กับอาหาร
- การชิมพร้อมอาหารช่วยดึง รสชาติ แชมเปญ ออกมาได้ดีที่สุด
- จับคู่ Brutกับซีฟู้ด, Rosé กับของหวานหรือผลไม้
5. บันทึกและเปรียบเทียบ
- จดบันทึกรสชาติ กลิ่น และความชอบของแต่ละยี่ห้อ
- การเปรียบเทียบแชมเปญจาก ปี พ.ศ. 2560-2565 จะช่วยให้เห็นความแตกต่างของสภาพอากาศและรสชาติ
4 ปัจจัย ที่กำหนด รสชาติของแชมเปญ
รสชาติ แชมเปญ ไม่ได้มาจากองุ่นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก หลายปัจจัยร่วมกัน ที่ทำให้แต่ละยี่ห้อและแต่ละปีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้แก่
1. ชนิดองุ่น
- แชมเปญทำจาก Chardonnay, Pinot Noir และ Pinot Meunier
- Chardonnay ให้รสชาติสดชื่นและกรอบ
- Pinot Noir ให้โครงสร้างและรสผลไม้เข้มข้น
- Pinot Meunier ให้ความหวานและกลิ่นผลไม้เบา
2. ภูมิอากาศและดิน
- เขต Champagne มี ดินชอล์กและสภาพอากาศเย็นชื้น ซึ่งเหมาะกับการปลูกองุ่นสำหรับแชมเปญ
- อุณหภูมิและปริมาณฝน ส่งผลให้รสชาติของแชมเปญบางแบรนด์มีความเปรี้ยวเด่นขึ้น
3. เทคนิคการหมักแบบ Traditional Method
- วิธีการผลิตแบบ Traditional Method หรือ Méthode Champenoise เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1757
- การหมักซ้ำในขวดทำให้เกิด ฟองละเอียดและกลิ่นหอมซับซ้อน
- ระยะเวลาการเก็บในขวด ก็มีผลต่อความซับซ้อนของรสชาติ ยิ่งเก็บนาน ยิ่งมีรสชาติกลมกล่อม
4. การผสมและการบ่ม
- การผสมจาก หลายปีผลิต (Non-Vintage) ช่วยให้รสชาติคงที่
- Vintage Champagne จะสะท้อนรสชาติและคุณภาพขององุ่นจากปีนั้นๆ
ระดับความหวาน ของแชมเปญ จาก Dry ถึง Sweet

ระดับความหวานของแชมเปญถูกกำหนดโดยปริมาณน้ำตาลที่เหลืออยู่ ซึ่งมาจากการเติมสารละลายน้ำตาลและไวน์ที่เรียกว่า Dosage (โดซาจ) ก่อนปิดจุกขวดอย่างถาวร โดยระดับความหวานจะระบุอยู่บนฉลากเป็นภาษาฝรั่งเศส มีทั้งหมด 7 ระดับ เรียงจาก “ดราย (Dry)” ที่สุดไปจนถึง “หวาน (Sweet)” ที่สุด
- Brut Nature = Driest (ไม่หวานเลย)
- Extra Brut= Very Dry (ไม่หวาน)
- Brut= Very Dry (ไม่หวาน) – Dry (หวานน้อย)
- Extra-Sec หรือ Extra-Dry = Dry (หวานน้อย) – Medium Dry (ค่อนข้างหวาน)
- Sec = Medium Dry (ค่อนข้างหวาน)
- Demi-Sec = Sweet (หวาน)
- Doux = Luscious หรือ Super-Sweet (หวานมาก)
ที่มา: ความหวานระดับ Brut คือ ความหวานระดับไหน ? (15 ธันวาคม 2023) [3]
สรุป รสชาติ แชมเปญ สำคัญอย่างไร ต่อคนรักแชมเปญ?
รสชาติ แชมเปญ คือการผสมผสานของ ความเปรี้ยวสดชื่น ความหวานกลมกล่อม กลิ่นผลไม้ และโน้ตของยีสต์/เบเกอรี่ ทุกจิบคือประสบการณ์หรูหราที่สร้างความสุขและความทรงจำ ไม่ว่าคุณจะดื่มเพื่อเฉลิมฉลองหรือจับคู่กับอาหาร แชมเปญก็สามารถตอบสนองรสชาติได้อย่างลงตัว
ฟองของแชมเปญ มีผลต่อรสชาติ และสัมผัสอย่างไร?
ฟองของแชมเปญมีผลต่อทั้งรสชาติและสัมผัส ฟองละเอียดให้ความรู้สึกนุ่มนวลหรูหราและช่วยให้รสชาติกลมกล่อม ขณะเดียวกันก็พาโมเลกุลของกลิ่นและรสขึ้นสู่จมูก ทำให้รับรสชัดเจน ฟองยังช่วยลดความหวานและเน้นความเปรี้ยว ทำให้ดื่มสดชื่นและเข้ากับอาหารมันๆ ได้ดี ฟองใหญ่หรือแรงจะให้สัมผัสชัดและรสโดดเด่นมากขึ้น แต่ความนุ่มจะลดลง
อุณหภูมิ ในการเสิร์ฟแชมเปญ มีผลต่อรสชาติหรือไม่?
อุณหภูมิในการเสิร์ฟแชมเปญ มีผลต่อรสชาติและกลิ่นอย่างมาก แชมเปญเย็นจัดจะให้ความสดชื่น ลดความหวานและความเปรี้ยวชัดเจน แต่กลิ่นและรสซับซ้อนอาจไม่เด่นเท่าที่ควร อุณหภูมิที่เหมาะสม (ประมาณ 6–10 °C) จะช่วยให้ฟองละเอียด รสชาติกลมกล่อม และกลิ่นองุ่นชัดเจน ทำให้ดื่มได้เต็มรสและเข้ากับอาหารได้ดี
- Tags: เครื่องดื่ม


