วิตามินดี เป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญ ต่อการทำงานของร่างกายในหลายด้าน ตั้งแต่การส่งเสริมภูมิคุ้มกัน การรักษาสุขภาพกระดูก ไปจนถึงการสนับสนุนการทำงานของระบบหัวใจ และหลอดเลือด แม้ว่าร่างกายจะสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เอง แต่ในปัจจุบันหลายคนอาจยังขาดวิตามินดี เนื่องจากวิถีชีวิต
วิตามินดีเป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญที่สุด ในการเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ส่งเสริมการนอนหลับ และการย่อยอาหาร มีสาเหตุหลายประการ ที่ทำให้ผู้คนขาดวิตามินดี เช่นปัจจัยทางพันธุกรรม การอาศัยอยู่ในที่ที่มีแสงแดดน้อย การมีน้ำหนักเกิน และโรคเบาหวาน ยังทำให้การดูดซึมวิตามินดี ลดลงอีกด้วย
วิตามินดีสามารถเสริมสุขภาพหัวใจได้ดี เมื่อทานร่วมกับ โคเอนไซม์คิวเทน ช่วยเพิ่มพลังงานให้เซลล์หัวใจ ลดการอักเสบ ส่งผลให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทานร่วมกับ โพลิโคซานอล มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเสียเพิ่มคอเลสเตอรอลดดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
การบริโภคปลาที่เลี้ยงในฟาร์ม หรือสัตว์ที่เลี้ยงด้วยธัญพืช มักมีปริมาณวิตามินดี น้อยกว่าสัตว์ที่เลี้ยงด้วยหญ้า หรือสัตว์ที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แหล่งอาหารที่มีวิตามินดี เช่นปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า น้ำมันตับปลา เห็ดบางชนิด ไข่แดง นมและผลิตภัณฑ์จากนม
การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลา 10 นาทีต่อวัน สามารถช่วยเพิ่มวิตามินดีได้ ประมาณ 400 IU ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอ หากต้องการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินดี ควรตรวจสอบว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินดีที่เลือกใช้ ไม่มีส่วนผสมของ corn syrup หรือ maltodextrin ซึ่งเป็นสารเติมแต่ง ที่อาจลดประสิทธิภาพ
ผู้ที่มีสภาพร่างกายบางประการ เช่นการติดเชื้อ โรคตับไขมัน โรคอ้วน การสูบบุหรี่ และการรับประทานน้ำตาล หรือไขมัน Omega 6 มากเกินไป จะส่งผลให้การดูดซึมวิตามินดีลดลงเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่นมลพิษทางอากาศ หรือการใช้ยาบางชนิด จะลดการดูดซึมวิตามินดีเช่นกัน
ผู้ทดลองได้ทานวิตามินดีเป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากระดับวิตามินดีต่ำ ซึ่งระดับวิตามินดีอยู่ที่ 21 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่แนะนำ ซึ่งควรอยู่ระหว่าง 50-70 มีภาวะขาดวิตามินดี ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย และอารมณ์ที่ไม่คงที่ รวมถึงมีปัญหาในการจดจ่อในการทำงาน จึงเริ่มทานวิตามินดีเสริมที่ขนาด 10,000 International Unit ต่อวัน มีผลลัพธ์ดังนี้
การทานวิตามินดี ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากภาวะขาดวิตามินดี ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำ ควรทานวิตามินดีเสริม และอาจเลือกขนาดที่เหมาะสม ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกาย [1]
การทานวิตามินดีในปริมาณ 10,000 International Unit ทุกวัน หรือ 50,000 หน่วยสากลสัปดาห์ละครั้ง อาจให้ผลลัพธ์ที่ดี ในการเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกาย เนื่องจากวิตามินดี สามารถสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และปล่อยออกมา ในช่วงเวลาหนึ่ง แตกต่างจากวิตามินที่ละลายน้ำ เช่นวิตามินซี ที่จำเป็นต้องรับทุกวัน
ข้อควรระวัง และคำแนะนำการใช้วิตามินดี การศึกษาแนะนำว่า สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ควรเสริมวิตามินดีในปริมาณ 4,000 หน่วยสากลต่อวัน เพื่อให้ได้ผลสูงสุด ส่วนบุคคลทั่วไป ที่ไม่มีภาวะก่อนเบาหวานควรใช้ 1,000 IU ตามคำแนะนำ [2]
การศึกษาใหม่นี้เป็นการวิเคราะห์โดยรวมเฉพาะการทดลอง แบบสุ่มควบคุม ที่มีคุณภาพสูง และออกแบบมาเพื่อศึกษาผลของวิตามินดี ลดความเสี่ยงเบาหวาน การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจาก 3 การทดลองที่มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยให้วิตามินดีในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 20,000 หน่วยสากลต่อสัปดาห์ไปจนถึง 4,000 หน่วยสากลต่อวัน
ผลการติดตามระยะเวลา 3 ปี พบว่าในกลุ่มที่ได้รับวิตามินดี มีผู้ที่พัฒนาเป็นโรคเบาหวาน 22.7% เมื่อเทียบกับ 25% กลุ่มที่ได้ยาหลอก การเสริมวิตามินดีลดความเสี่ยง 3.3% ชี้ให้เห็นว่า จำเป็นต้องรักษาผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน ด้วยวิตามินดี 30 คนเพื่อป้องกัน 1 คนจากการพัฒนาเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2
การศึกษานี้ไม่พบผลข้างเคียงที่สำคัญ ในการใช้วิตามินดี ซึ่งสนับสนุนการใช้วิตามินดี เป็นทางเลือกในการป้องกันโรคเบาหวาน ในผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำ ควรพิจารณาเสริมวิตามินดี ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะอยู่ในช่วง 50-60 ng/mL เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ในการลดความเสี่ยง [3]
การเสริมวิตามินดีอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาสุขภาพที่ดี และป้องกันภาวะขาดวิตามิน ที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี การออกแดดอย่างเหมาะสม หรือการรับประทานเสริมวิตามินดี ตามคำแนะนำของแพทย์ ล้วนเป็นวิธี ที่สามารถช่วยให้ระดับวิตามินดี ในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม