
ทำความรู้จัก สาร Carotenoid ในพืช
- Fiona
- 20 views

สาร Carotenoid ในพืช เป็นคำที่หลายคนอาจคุ้นเคย จากสีสันสดใสของผักผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นสีส้มของแครอท สีแดงของมะเขือเทศ หรือสีเหลืองทองของฟักทอง แต่ความจริงแล้วแคโรทีนอยด์ หมายถึงกลุ่มสารธรรมชาติ ที่พืชสร้างขึ้นเอง ทำให้พืชมีเอกลักษณ์ทั้งด้านสี กลิ่น และความสามารถในการปกป้องตัวเอง
- แคโรทีนอยด์ คืออะไร?
- ประโยชน์ของแคโรทีนอยด์
- ยกตัวอย่าง สาร Carotenoid ในพืช
สารสีธรรมชาติ แคโรทีนอยด์ คืออะไร?
แคโรทีนอยด์คือกลุ่มสารสีตามธรรมชาติ ที่พบมากในผัก ผลไม้ พืชสีสันสด และสาหร่าย ซึ่งเป็นตัวทำให้เราเห็นสีเหลือง ส้ม และแดงในอาหารหลายชนิด นอกจากให้สีแล้ว สารกลุ่มนี้ ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ จากความเครียดออกซิเดชัน
แคโรทีนอยด์จึงเป็นหนึ่งในสาระสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวม ของร่างกายมนุษย์ ในร่างกาย แคโรทีนอยด์บางชนิด สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ได้ซึ่งมีบทบาทต่อการมองเห็น ภูมิคุ้มกัน และการทำงานของผิวหนัง ทำให้ผักผลไม้หลากสี เป็นแหล่งสารอาหาร ที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพหลายด้าน (18 กันยายน 2018) [1]
ประวัติ แคโรทีนอยด์ การค้นพบครั้งแรก
ประวัติของแคโรทีนอยด์ เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1800 เมื่อปี 1831 นักเคมีชาวเยอรมัน Heinrich Wackenroder สามารถแยกสารสีส้ม จากน้ำแครอทได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่า carotin นับเป็นก้าวแรก ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ รู้ว่าพืชมีสารสีตามธรรมชาติซ่อนอยู่ ต่อมาในปี 1847 มีการยืนยันว่า carotin เป็นสารประเภทไฮโดรคาร์บอน
และในปี 1907 Richard Willstätter พร้อมทีมงาน ได้สรุปสูตรเคมีของสารนี้อย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญ ให้วงการเคมีอินทรีย์ ศึกษาสารสีจากธรรมชาติได้ลึกขึ้น ช่วงปี 1928–1931 ถือเป็นยุคที่แคโรทีนอยด์เริ่มถูกทำความเข้าใจ ในระดับโมเลกุลมากขึ้น โดยงานของ Paul Karrer มีบทบาทสำคัญ
เพราะสามารถระบุโครงสร้างของ β-carotene และพิสูจน์ว่า สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ในร่างกายมนุษย์ ทำให้สารกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับในฐานะ provitamin A และเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้แคโรทีนอยด์ ได้รับความสนใจในด้านโภชนาการ สุขภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ในเวลาต่อมา (10 พฤศจิกายน 2025) [2]
ประโยชน์ของแคโรทีนอยด์คืออะไร?
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แคโรทีนอยด์สามารถลดความเสียหายของเซลล์ ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบ และโรคเรื้อรังหลายชนิด ทำให้ร่างกายมีความสมดุลมากขึ้น
- เป็นแหล่งสร้างวิตามินเอ แคโรทีนอยด์บางชนิด อย่างเบต้าแคโรทีน สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ช่วยเรื่องสายตา ภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตของเซลล์ และสุขภาพผิว
- ช่วยปกป้องดวงตา ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ในกลุ่ม xanthophylls สะสมอยู่ที่จุดรับภาพของจอประสาทตา ช่วยกรองแสงสีฟ้า และลดความเสี่ยง โรคจอประสาทตาเสื่อม ในผู้สูงอายุ
- ลดการอักเสบในร่างกาย แคโรทีนอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบระดับเซลล์ ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวดีขึ้น และเป็นประโยชน์ ต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม
- ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ แคโรทีนอยด์อาจช่วยชะลอกระบวนการแก่ของเซลล์ ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นในระยะยาว
- อาจลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังบางชนิด งานวิจัยบางฉบับพบว่าคนที่กินผักผลไม้ ที่มีแคโรทีนอยด์สูง มักมีความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งบางชนิดลดลง แม้ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ที่มา: Overview of the Potential Beneficial Effects of Carotenoids (10 พฤษภาคม 2023) [3]
ยกตัวอย่างสาร Carotenoid ในพืช

- พืชอะไรที่มี Beta carotene สูง ตัวอย่างที่พบมากที่สุดคือ แครอท มันหวานสีส้ม และฟักทอง ทั้งสามชนิดมีสีส้มเหลืองเข้ม ซึ่งสะท้อนปริมาณเบต้าแคโรทีนที่สูงมาก ช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน และเป็นแหล่งสร้างวิตามินเอตามธรรมชาติ
- พืชอะไรที่มี Lycopene สูง แหล่งสำคัญได้แก่ มะเขือเทศปรุงสุก แตงโม และฝรั่งสีชมพู ซึ่งล้วนมีสีแดงจัดจากไลโคปีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และมีบทบาทต่อสุขภาพหัวใจ โดยมะเขือเทศ ที่ผ่านความร้อน จะยิ่งช่วยให้ไลโคปีน ถูกดูดซึมได้ดีขึ้น
- พืชอะไรที่มี Lutein และ Zeaxanthin พืชที่โดดเด่นที่สุดคือ ผักโขม คะน้า และข้าวโพดหวาน ซึ่งเป็นแหล่งสารบำรุงดวงตาที่สำคัญมาก ช่วยกรองแสงสีฟ้า ลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม และพบมากในผักใบเขียวเข้ม ร่วมกับผักที่มีสีเหลืองตามธรรมชาติ
- พืชอะไรที่มี Beta cryptoxanthin สูง ตัวอย่างที่มีมากคือ ส้มแมนดาริน มะละกอสุก และพริกหวานสีส้ม ซึ่งให้สีส้มตามธรรมชาติ และอุดมด้วย Beta autoantibodies ที่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ดี ช่วยสนับสนุนการทำงานของผิว ภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์
ข้อเสียของแคโรทีนอยด์คืออะไร?
- รับมากเกินไป จากอาหารเสริม อาจเป็นอันตราย การเสริมเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ไม่ใช่จากอาหารธรรมชาติ เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด ในผู้สูบบุหรี่หนัก ตามงานวิจัยหลายฉบับ
- อาจทำให้ผิวเหลือง กินผักผลไม้สีส้ม สีเหลืองมากเกินไป เช่นแครอท ฟักทอง อาจทำให้ผิวออกสีเหลือง แต่ไม่อันตราย และหายได้เมื่อหยุดกิน
- ดูดซึมได้ไม่ดีถ้าไม่กินร่วมกับไขมัน แคโรทีนอยด์เป็นสารละลายในไขมัน ถ้ากินอย่างเดียว ร่างกายจะดูดซึมได้น้อย ทำให้ได้ประโยชน์ไม่เต็มที่
- ปริมาณในอาหารแปรผันได้ ตามการปลูกและการปรุง ความร้อนช่วยเพิ่มการดูดซึม ของบางชนิด เช่นไลโคปีน แต่ทำลายบางชนิด เช่นลูทีน ทำให้ต้องเลือกวิธีปรุงที่เหมาะสม
ควรทานแคโรทีนอยด์วันละเท่าไหร่?
ปริมาณแคโรทีนอยด์ที่ควรได้รับต่อวัน ยังไม่มีค่ากำหนดตายตัว เพราะแคโรทีนอยด์เป็นกลุ่มสารตามธรรมชาติ ไม่ใช่วิตามิน อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านโภชนาการส่วนใหญ่ แนะนำให้ทานผักผลไม้หลากสี 4–5 เสิร์ฟต่อวัน โดยเฉพาะผักผลไม้สีส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมักให้แคโรทีนอยด์ในปริมาณที่เหมาะสม
ร่างกายจะดึงเอาเท่าที่ต้องการ โดยไม่เกิดอันตราย เหมือนการกินอาหารเสริมปริมาณสูง นอกจากนี้แคโรทีนอยด์บางชนิด สามารถแปลงเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งการกินผักผลไม้ 1–2 ถ้วยที่มีสีส้มเหลืองต่อวัน ก็มักเพียงพอสำหรับความต้องการวิตามินเอของร่างกายแล้ว
ในกรณีที่ใช้เพื่อสุขภาพเฉพาะด้าน เช่นบำรุงสายตา งานวิจัยมักใช้ลูทีน 6–10 มก. และซีแซนทีน 2 มก. ต่อวัน ส่วนไลโคปีนเพื่อการต้านอนุมูลอิสระ และหัวใจมักใช้ในช่วง 5–10 มก. ต่อวัน การกินผักผลไม้หลากสีวันละ 400–500 กรัม จะให้แคโรทีนอยด์เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพโดยรวม
สารแคโรทีนอยด์ในพืช กล่าวโดยสรุป
แคโรทีนอยด์เป็นสารสีธรรมชาติ ที่ทำให้ผักผลไม้หลากสี เช่นแครอท มันหวาน ฟักทอง มะเขือเทศ แตงโม ฝรั่งสีชมพู ผักโขม คะน้า ข้าวโพดหวาน ส้มแมนดาริน มะละกอ และพริกหวานสีส้ม มีความโดดเด่นทั้งด้านสีสัน และคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
ควรทานแคโรทีนอยด์คู่กับอะไร?
การทานแคโรทีนอยด์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรทานคู่กับไขมันดี เช่นน้ำมันมะกอก ถั่ว เพราะแคโรทีนอยด์เป็นสารละลายในไขมัน ร่างกายจะดูดซึมได้ดีขึ้น เมื่อมีไขมันช่วยพาเข้าสู่ระบบย่อย นอกจากนี้การทานผักผลไม้หลากสี ปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อนเล็กน้อย ช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น
ใครที่ควรทานแคโรทีนอยด์เป็นพิเศษ?
คนที่ควรทานแคโรทีนอยด์เป็นพิเศษ ได้แก่ผู้ที่ต้องการบำรุงสายตา เช่นคนใช้สายตาหนัก ทำงานหน้าจอนาน ผู้สูงอายุที่เสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่รับมลพิษเป็นประจำ หรือคนที่กินผักผลไม้น้อยเป็นประจำ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิว และสุขภาพหัวใจ
- Tags: สุขภาพ


