เบต้าแคโรทีน เป็นสารอาหารสำคัญ ที่พบได้ในผัก และผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะในพืชที่มีสีแดง ส้ม และเหลือง สารนี้นอกจากจะมีสีที่สดใสและโดดเด่น ยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ เบต้าแคโรทีนมีความสำคัญ ต่อการดูแลสุขภาพดวงตา ระบบภูมิคุ้มกัน และการคงความงามของผิวหนัง
เบต้าแคโรทีนเป็นสารสีส้ม ที่พบมากในผัก และผลไม้ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อการมองเห็น สารนี้จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้พืชมีสีแดง ส้ม และเหลือง เช่นแครอท ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ต่อสุขภาพของพืช
โดยเบต้าแคโรทีน เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ หรือเรตินอล เมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหาร จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในตับ และลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่สนับสนุนหน้าที่ต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกัน และการมองเห็น ซึ่งร่างกายต้องได้รับ จากการบริโภคอาหารเป็นประจำ
วิตามินเอที่ได้จากเบต้าแคโรทีน เป็นส่วนประกอบสำคัญของโรดอปซิน ซึ่งเป็นโปรตีนในดวงตา ที่ดูดซับแสงเข้าสู่เรตินา ทำให้สามารถมองเห็น ในสภาพแสงน้อยได้ หากได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ การผลิตโรดอปซินจะลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะตาบอดกลางคืน
และเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่เกิดจากความเสื่อม ของบริเวณตรงกลางของเรตินา ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่พร่ามัว หรือการสูญเสียการมองเห็นในส่วนกลาง สารต้านอนุมูลอิสระในเบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องดวงตา จากความเครียดจากการออกซิเดชัน ที่มีส่วนในการพัฒนาโรคจอประสาทตาเสื่อม
เบต้าแคโรทีนสามารถหาได้ง่าย จากอาหารที่มีสีส้ม เช่นแครอทที่ให้ปริมาณวิตามินเอมากกว่า 200% ของความต้องการในแต่ละวัน และมันเทศซึ่งให้วิตามินเอเกือบ 4 เท่า ของที่แนะนำในแต่ละวัน นอกจากนี้ ฟักทองก็เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนที่ดีเช่นกัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย
ผักใบเขียวอย่างผักโขม และคะน้ายังมีเบต้าแคโรทีน และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ รวมถึงพริกหวานแดงและเหลือง ที่สามารถเพิ่มสีสัน และคุณค่าทางโภชนาการ ให้กับอาหาร เพื่อให้ได้รับเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่เพียงพอ ควรเริ่มต้นวันด้วย Smoothies ผักโขม แครอท ส้ม และเพิ่มมันอบ ในมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น
เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์ จากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การศึกษาบางชิ้น ชี้ให้เห็นว่าเบต้าแคโรทีน อาจช่วยลดความเสี่ยง ของโรคบางชนิด เช่นปกป้องปอด เมื่ออายุมากขึ้น
เบต้าแคโรทีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการต้านอนุมูลอิสระ และการส่งเสริมสุขภาพตา ช่วยชะลอการเสื่อมถอย ของสมอง เช่นการจำ หรือการตัดสินใจ ที่อาจลำบากเมื่ออายุมากขึ้น การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งมาจากธรรมชาติ ให้ความรู้สึกสบายใจ และปลอดภัย [1]
การได้รับเบต้าแคโรทีนจากอาหาร เป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการรักษาสุขภาพตา และร่างกาย อย่างไรก็ตาม การเสริมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุเช่น Lutein, Bilberry, Ascorbic Acid ก็สามารถเป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยเสริมสุขภาพดวงตาได้ แต่อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหาร ที่มีเบต้าแคโรทีน อย่างสมดุลเป็นหลัก
การรับประทานเบต้าแคโรทีน ควบคู่กับอาหารเสริม ลูทีน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ ช่วยกรองแสงสีฟ้า ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเสื่อมของจอประสาทตา หรือรับประทานเบต้าแคโรทีนร่วมกับ ซีแซนทีน จะทำงานร่วมกันในการป้องกันแสงสีฟ้า และอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมจุดภาพในจอประสาทตา
ปริมาณที่แนะนำ ของวิตามินเอ ในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 900 ไมโครกรัมต่อวัน สำหรับผู้ชาย และ 700 ไมโครกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิง โดย 1 ไมโครกรัมของเรตินอล มีค่าเท่ากับ 12 ไมโครกรัม ของเบต้าแคโรทีนจากอาหาร การบริโภคผัก และผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน ช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ [2]
เบต้าแคโรทีนเป็นรูปแบบของวิตามินเอ ที่มาจากพืช แต่ร่างกายต้องแปลงเบต้าแคโรทีน ให้เป็นเรตินอล หรือวิตามินเอที่แท้จริง ก่อนจึงจะนำไปใช้งานได้ง่าย การแปลงเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอ จำเป็นต้องใช้สารอาหารหลายชนิด เช่นทองแดงหรือเหล็ก ซึ่งหลายคนอาจขาด เป็นปัจจัยที่ทำให้การแปลงนี้ทำได้ยาก
หากรับประทานอาหาร ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือโปรตีนสูง เช่น Keto, Paleo หรือ Carnivore diets การแปลงเบต้าแคโรทีน ให้เป็นวิตามินเอ ก็อาจเป็นเรื่องท้าทาย เพราะร่างกายต้องการฮอร์โมนไทรอยด์ สำหรับการแปลงนี้ ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ต่ำ อาจมีปัญหาในการแปลงเบต้าแคโรทีน ให้เป็นวิตามินเอ [3]
เบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหาร ที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา ป้องกันการเสื่อมของผิวหนัง และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน การบริโภคอาหาร ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนอย่างสม่ำเสมอ เช่นผักและผลไม้สีส้ม และผักใบเขียว ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารนี้ ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวม