เมดูซ่า ปีศาจในตำนาน ที่หลายท่านอาจคุ้นหน้า คุ้นตามาเป็นอย่างดี ด้วยรูปร่าง และลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะมีเส้นผมที่เป็นงู ตามที่ได้เห็นตามหน้าจอภาพยนตร์ต่าง ๆ วันนี้เราจะพาทุกท่าน ไปทำความรู้จักปมหลังของปีศาจตนนี้ ว่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบ
หลายท่านอาจจะคิดว่า เมดูซ่า (Medusa) [1] เป็นปีศาจในตำนาน แต่ในความเป็นจริงนั้น เธอเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม ผิวพรรณเปร่งปรั่ง จนทำให้ผู้คนพูดถึงกันมากที่สุด และที่สำคัญ เธอมีเส้นผมที่สลวย คล้ายกับเส้นไหมสีทองอร่าม
เธอลูกของเทพเจ้าแห่งสติปัญญา เมทิส ซึ่งมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 3 คน ในเวลาต่อมา เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซุส มีความต้องการที่อยากครอบครองพลังของ เมทิส จึงวางแผนหลอกให้เมทิสมาพบเขา และทำการข่มขืนทันที และหลอกล่อให้เจ้าแห่งปัญญา แปลงกายเป็นแมลงวัน และถูกจับกินทันที
ในช่วงเวลานั้น เมทิสกำลังตั้งท้องลูกคนที่สี่ ชื่อว่า อะธีน่า เทพีแห่งสติปัญญา และสงคราม แต่เขาเพิ่งรู้ว่าตนเองมีพี่น้องอีก 3 คน เธออิจฉาที่พี่น้องหน้าตาดี จึงคิดวางแผนกำจัด สองคนแรกเป็นเทพ ส่วน เมดูซ่า เป็นครึ่งคนครึ่งเทพ ซึ่งตกเป็นเป้าหมาย ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ภายในวิหาร จึงไม่สามารถทำอะไรที่บุ่มบ่ามได้
วันหนึ่ง เทพเจ้าแห่งท้องทะเล นามว่า โพไซดอน เขาได้ยินชื่อเสียงของ เมดูซ่า เกี่ยวกับความงดงามของเธอ และมีความต้องการที่จะเก็บเธอมาครอบครอง จึงทำการบุกเข้าไป แล้วทำการข่มขืนหญิงสาวคนนี้ กลางวิหารของอะธีน่า
ในช่วงเวลานั้น อะธีน่าก็มีความเกลียด และอิจฉาพี่สาวมนุษย์ครึ่งเทพของเธออยู่แล้ว เธอจึงได้ประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ ว่าพี่สาวเธอถูกขโมยพรหมจรรย์ กลางวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ข่าวลือที่อื้อฉาว ทำให้ Medusa ไม่สามารถอยู่ในวิหารอีกต่อไปได้
แถมยังถูกขับไล่ให้ออกจากเมือง ก่อนที่เธอจะถูกขับไล่ เทพีแห่งสติปัญญา และสงคราม ได้ทำการสาปให้เธอกลายเป็นปีศาจ ครึ่งคนครึ่งงู จากหญิงสาวที่มีผิวสวยงาม กลายเป็นผิวแห้งเหี่ยว และมีเกล็ดขึ้นตามตัว คล้ายกับเกล็ดงู และสิ่งที่น่าสงสารมากที่สุด เส้นผมของเธอกลายเป็นงูนับพัน ที่เลื้อยไปมาเต็มหัว
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เทพีแห่งสงคราม อะธีน่า ยังมีความกังวลว่า เมดูซ่า ยังมีความสวยงามอยู่ เธอจึงได้ทำการสาปพี่สาวของเธออีกครั้งหนึ่ง เมื่อไหร่ที่ใครมองไปที่ใบหน้าของ Medusa แล้วทำการจ้องไปที่ดวงตาของเธอ คนผู้นั้นจะถูกสาปให้กลายเป็นหินทันที
เมื่อข่าวการถูกสาปของเธอแพร่กระจาย แถมยังมีการปั่นกระแส ว่าเธอมีหน้าตาที่น่าเกลียด ซึ่งมีคนพูดว่า เมดูซ่า ได้กระทำความผิดที่ร้ายแรง จึงทำให้ถูกสาปกลายเป็นปีศาจงู เธอร้ายอย่างนั้น เธอชั่วอย่างงี้ กลายเป็นข่าวที่มีการใส่ไข่เพิ่มมากยิ่งขึ้น จากผู้คนที่ไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ
เธอได้หลบหนีผู้คน และออกไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครพบเจอ จนมาถึงวันที่มนุษย์ครึ่งเทพ เพอร์ซีอุส ได้รับภารกิจตามฆ่า Medusa จึงได้มาขอความช่วยเหลือจากเหล่าเทพ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเทพ อะธีน่า ได้มอบอาวุธให้กับมนุษย์ครึ่งเทพคนนี้ เพื่อใช้ในการกำจัดพี่สาวของตนเอง
ถึงแม้ปีศาจงูจะถูกตัดหัว ชะตากรรมของเธอยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการนำหัวไปใช้สาปสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ให้กลายเป็นหิน สุดท้ายหัวของเธอก็ตกไปอยู่กับเทพีแห่งสงคราม อะธีน่าได้นำหัวของ เมดูซ่า ไปประดับไว้ที่โล่ของเธออีกด้วย เพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่ตนเอง
ผู้คนในยุคปัจจุบัน ได้หยิบยกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ เมดูซ่า เปรียบเทียบให้เห็นถึงวัฒนธรรมการข่มขืน ของสังคมที่ผู้ชายมีความเป็นใหญ่ แต่ผู้ที่ถูกกระทำ กลับต้องเป็นฝ่ายที่ได้รับความผิด จนทำให้มีกระแสในกลุ่ม Feminist ที่ได้มีการพูดถึง และหยิบยกเรื่องราวของปีศาจงูขึ้นมา
เริ่มมีการประท้วงในเรื่องของความไม่ยุติธรรม และได้มีการปั้นหุ่นจำลองของ Medusa ที่กำลังหิ้วหัวของเพอร์ซีอุส เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งหญิงและชาย ไม่ว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เหมือนเคสเดียวกับปีศาจงู ถูกเริ่มใช้เป็นมุมมอง ในการทวงคืนความเป็นธรรมเช่นกัน
กระแสของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ เมดูซ่า ที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการถูกข่มขืน ในยุคที่ผู้ชายมีความเป็นใหญ่ แต่ผู้ที่ถูกกระทำ กลับถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิด จึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ลูเซียโน่ การ์บาตี ศิลปินชาวอาร์เจนติน่า – อิตาลี ทำการสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นมา ในช่วง ค.ศ. 2008
ในปัจจุบัน รูปปั้นดังกล่าว ถูกจัดแสดงที่ฝั่งตรงข้ามกับศาลอาญาในนิวยอร์ก ที่เป็นสถานที่พิจารณาคดีการล่วงละเมิดทางเพศ รวมไปถึงคดีของ ฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ อดีตโปรดิวเซอร์วงการภาพยนตร์ ที่ก่อเหตุข่มขืน และล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงเป็นจำนวนมาก
ที่มา : ทวงความยุติธรรมคืนเมดูซา [2]
เรื่องราวของปีศาจหัวงู ถูกผู้คนในยุคสมัยใหม่ ตีความในด้านของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งก็เป็นมุมมองใหม่ ๆ ที่หลายท่านอาจจะยังไม่เคยรับรู้ และอาจจะมองจากภาพยนตร์ ที่คิดว่าเป็นปีศาจหญิงสาว ที่ออกมาทำร้านผู้คนเท่านั้นเอง