
โปรไฟล์ บ็อบ เฮย์ส จากโอลิมปิกสู่ซูเปอร์โบวล์
- J. Kanji
- 8 views

โปรไฟล์ บ็อบ เฮย์ส เรื่องราวของชายผู้วิ่งเร็ว เหมือนกระสุน และยังคว้าได้ทั้งเหรียญทองโอลิมปิก และแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ในชีวิตเดียว เขาคือผู้เปลี่ยนโลกของกีฬา จากลู่วิ่งสู่สนามอเมริกันฟุตบอล เรื่องราวของเขา เต็มไปด้วยจังหวะที่น่าทึ่ง และการฝึกฝนอย่างไม่หยุดนิ่ง จนเป็นแรงบันดาลใจ ที่ยังส่งต่อมาจนถึงวันนี้
- ประวัติ จุดเริ่มต้นการวิ่งของเฮย์ส
- ผลงาน และสถิติสำคัญของเฮย์ส
- จุดเปลี่ยนของเฮย์ส สู่แชมป์ซูเปอร์โบวล์
จุดเริ่มต้นของเฮย์สผู้รักความเร็ว
Bob Hayes เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1942 ที่เมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เขาโตมาในยุคที่การแบ่งแยกสีผิวยังเข้มข้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแตกต่าง คือความมุ่งมั่น และพลังในสนามวิ่ง ครูพละคนหนึ่งเคยบอกว่า “เด็กคนนี้เร็วเกินกว่าจะอยู่เฉย ๆ ได้”
ตอนเรียนที่ Matthew Gilbert High School เขากลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียน และพาทีมชนะการแข่งขันระดับรัฐ จากนั้นได้รับทุนเข้าเรียนต่อที่ Florida A&M University (FAMU) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับนักกีฬา ผิวดำชั้นนำในยุคนั้น
ภายใต้การฝึกของโค้ช Jack Gaither เฮย์สพัฒนาทักษะ จนก้าวสู่การเป็นหนึ่งในนักวิ่งที่ น่าจับตาที่สุดของประเทศ และในปี 1962 เขาทำเวลาวิ่ง 100 หลาได้ที่ 9.2 วินาที ซึ่งเทียบเท่าสถิติโลกในขณะนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน “Bullet Bob” (9 พฤศจิกายน 2025 ) [1]
โอลิมปิกโตเกียว 1964 วันที่โลกได้รู้จักชื่อเฮย์ส
ปี 1964 คือปีทองในชีวิตของเขา เมื่อเฮย์สได้สิทธิ์เป็นตัวแทน ทีมชาติสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมการแข่งขัน โอลิมปิกฤดูร้อนที่กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นโอลิมปิกครั้งแรก ที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทั่วโลก เฮย์สลงแข่งในรายการ วิ่ง 100 เมตร และคว้าเหรียญทอง ด้วยเวลา 10.0 วินาที ซึ่งเทียบเท่าสถิติโลกในขณะนั้น (21 มิถุนายน 2023) [2]
การออกตัวของเขาทรงพลัง จนผู้บรรยายถึงกับพูดว่า “เขาเหมือนมีมอเตอร์ในขา” แต่จุดที่กลายเป็นตำนาน คือการวิ่งไม้สุดท้ายในรายการ 4×100 เมตรชาย ทีมสหรัฐฯ ส่งไม้ให้เขาในลำดับที่ 5 แต่เขาวิ่งแซงขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และช่วยทีมคว้าเหรียญทองด้วยเวลา 39 วินาที ซึ่งเป็นสถิติโลกใหม่ในขณะนั้น (3 สิงหาคม 2017) [3]
ในยุคเดียวกันนี้ ยังมีนักวิ่งชื่อดังอย่าง ชาร์ลส์ กรีน (Charlie Greene) ที่ถือเป็นคู่แข่งสำคัญ ในทีมชาติสหรัฐฯ ซึ่งช่วยผลักดันมาตรฐานความเร็ว ของนักวิ่งอเมริกัน ให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ภาพของบ็อบ เฮย์สที่พุ่งเข้าเส้นชัย ยังคงเป็นหนึ่งในภาพจำ ของโอลิมปิกยุคนั้น
เปลี่ยนสนามจากลู่สู่ NFL ในแบบที่โลกไม่คาดคิด

หลังโอลิมปิก เฮย์สตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต เขาหันหลังให้สนามลู่ และเข้าร่วมโลกของ อเมริกันฟุตบอลอาชีพ ทั้งที่ยังไม่เคยเล่น ในระดับลีกมาก่อน ในปี 1965 เขาได้รับเลือกโดยทีม Dallas Cowboys ในรอบที่ 7 ของการดราฟต์
แม้จะเป็นมือใหม่ แต่เฮย์สใช้เวลาไม่นานในการปรับตัว เขาศึกษาเทคนิคการจับบอล จากเพื่อนร่วมทีม และใช้จังหวะวิ่งแบบนักกรีฑา เข้าช่วยให้หลุดจากการป้องกัน ได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ฤดูกาลแรกของเขา สร้างความตะลึงไปทั่วลีก เฮย์สทำ 8 ทัชดาวน์ และรับบอลได้ 1,003 หลา จากการลงสนามเพียง 13 นัด ตัวเลขนี้ทำให้เขา กลายเป็นหนึ่งในตัวรับ ที่อันตรายที่สุดทันที และในปี 1966 เขาถูกเลือกให้ติดทีม All-Pro และเข้าร่วม Pro Bowl เป็นครั้งแรกในอาชีพ NFL
ความเร็วที่เปลี่ยนเกมของ NFL ไปตลอดกาล
ก่อนที่เฮย์สจะเข้าสู่ลีก NFL เกมส่วนใหญ่เน้นการวิ่งบุก และการป้องกันแบบตัวต่อตัว (man-to-man coverage) แต่ความเร็วของเฮย์สเปลี่ยนทุกอย่าง เขาสามารถวิ่งเส้นตรง และฉีกแนวรับออกไปได้ ภายในไม่กี่วินาที กองหลังแทบไม่สามารถ จับจังหวะได้ทัน
ทำให้โค้ชฝ่ายป้องกัน ต้องพัฒนาแนวคิดใหม่ ที่เรียกว่า zone defense หรือระบบคุมพื้นที่ เพื่อรับมือกับเขาโดยเฉพาะ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เฮย์สคือ “ต้นแบบของ Wide Receiver สมัยใหม่” เพราะเขาเป็นคนแรก ๆ ที่ใช้ความเร็วในการสร้างช่องว่าง มากกว่าพละกำลัง
ในช่วงระหว่างปี 1965–1974 เขาทำสถิติรวมกว่า 7,414 หลา และ 71 ทัชดาวน์ และในฤดูกาลปี 1966 เขายังนำลีกในหมวดทัชดาวน์ถึง 13 ครั้ง ซึ่งยืนยันว่าเขาไม่ได้แค่เร็ว แต่ยังแม่นยำ และมีสัญชาตญาณ การจับบอลที่ยอดเยี่ยม
ปี 1972 จากเหรียญทองสู่แชมป์ซูเปอร์โบวล์
ปี 1972 คือจุดสูงสุดของทั้งชีวิต และอาชีพ เมื่อเฮย์สช่วยให้ Dallas Cowboys เอาชนะ Miami Dolphins ในเกม Super Bowl VI ด้วยคะแนน 24–3 แม้เขาจะไม่ได้ทำทัชดาวน์ในเกมนั้น แต่ความเร็วของเขา ทำให้แนวรับของคู่แข่ง ต้องเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม ได้เล่นง่ายขึ้น ส่งผลให้เกมรุกของ Cowboys มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปีนั้น
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เฮย์สกลายเป็น นักกีฬาคนแรกและคนเดียวในโลก ที่ได้ทั้งเหรียญทองโอลิมปิก และแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ซึ่งจนถึงวันนี้ (ปี 2025) ก็ยังไม่มีใครทำได้เหมือนเขาเลย เขากลายเป็นสัญลักษณ์ ของการข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้นักกีฬาหลายรุ่นต่อมา ทั้งในกรีฑา และอเมริกันฟุตบอล
ชีวิตหลังเลิกเล่น และเกียรติยศหลังความตาย
หลังเลิกเล่นในปี 1975 เฮย์สเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขามีปัญหาสุขภาพ และคดีความบางอย่าง ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขา ถูกมองข้ามไปช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายชีวิต เขาได้รับการยกย่องจากแฟน ๆ ว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่น ที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง
เฮย์สเสียชีวิตในปี 2002 ด้วยวัย 59 ปี จากโรคไต แต่ชื่อของเขาไม่เคยเลือนหายไป ในปี 2009 เขาถูกบรรจุเข้าสู่ Pro Football Hall of Fame อย่างเป็นทางการ โดยมีเพื่อนร่วมทีม และครอบครัว ขึ้นรับเกียรติแทน
ถือเป็นการยืนยันว่าตำนาน “Bullet Bob” จะคงอยู่ตลอดไปปัจจุบัน ถนนสายหนึ่งในเมืองแจ็กสันวิลล์ ถูกตั้งชื่อว่า Bob Hayes Road เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาย ผู้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ กีฬาอเมริกัน
โปรไฟล์ บ็อบ เฮย์ส กับบทสรุป
เฮย์สคือสัญลักษณ์ของความเร็ว ที่ไร้ขอบเขต เขาไม่เพียงคว้าเหรียญทองในโอลิมปิก แต่ยังเปลี่ยนแนวคิดของ NFL ไปตลอดกาล แม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ชื่อของ “Bullet Bob” ก็ยังคงถูกพูดถึงในฐานะ ชายผู้วิ่งเร็วที่สุดในสองโลก
ทำไมบ็อบ เฮย์สถึงถูกเรียกว่า Bullet Bob ?
เพราะในโอลิมปิกปี 1964 เขาวิ่งไม้สุดท้ายของผลัด 4×100 เมตรเร็วจนคู่แข่งห่างหลายเมตร สื่อเลยตั้งฉายาว่า “Bullet Bob” หรือ “กระสุนมนุษย์” นอกจากนี้ชื่อเล่นนี้ยังสะท้อนถึงบุคลิกของเขาในสนาม ที่เด็ดขาด เร็ว และแม่นยำในทุกจังหวะ จนกลายเป็นภาพจำของแฟน ๆ ทั่วโลก
อะไรคือสิ่งที่ทำให้บ็อบ เฮย์สเป็นตำนานใน NFL?
เฮย์สไม่เพียงแค่เร็ว แต่เขาคือจุดเปลี่ยนของเกม เขาทำให้ลีกต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบป้องกัน zone defense และแนวคิดของ wide receiver ที่ใช้ความเร็วแทนพละกำลัง กลายเป็นต้นแบบที่ทีมยุคหลัง นำไปใช้จนถึงปัจจุบัน
- Tags: กีฬา


