
Blueberry ประโยชน์คือ ? Super food ของคนรักสุขภาพ
- OTP
- 10 views

Blueberry ประโยชน์คือ ? บลูเบอร์รีคือผลไม้ลูกเล็กสีม่วงน้ำเงินที่ทั้งอร่อยและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ บทความนี้ จะพาคุณทำความรู้จักบลูเบอร์รีอย่างละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจว่าครั้งต่อไป ที่หยิบบลูเบอร์รีมากิน คุณจะได้ทั้งความอร่อย คุณค่าทางโภชนาการเต็ม ๆ
- ทำความรู้จัก และลักษณะทางกายภาพของบลูเบอร์รี
- เรื่องราวประวัติศาสตร์ การเพาะปลูกบลูเบอร์รี
- ประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
- เทคนิคการเลือก และเก็บรักษาบลูเบอร์รีให้สดนาน และรสชาติดี
ทำความรู้จัก Blueberry
- ชื่อ: บลูเบอร์รี
- ชื่อสามัญ (Common name): Blueberry
- ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Vaccinium corymbosum (สำหรับสายพันธุ์ปลูกที่พบมากที่สุดคือ Highbush Blueberry)
- วงศ์ (Family): Ericaceae
- ถิ่นกำเนิด: ทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของบลูเบอร์รี่ป่า และต้นแบบของการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน
ลักษณะทางกายภาพ ต้นบลูเบอร์รี
- ลำต้นและกิ่ง (Stem & Branch): เป็นไม้พุ่มสูง 3–2 เมตร แตกกิ่งมาก ทรงพุ่มแน่น เหมาะกับการเก็บผล
- ผล (Fruit): ผลกลมเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางราว 5–1.5 ซม. สีม่วงน้ำเงินเข้ม ผิวมีชั้นขี้ผึ้งธรรมชาติ เนื้อฉ่ำ รสหวานอมเปรี้ยว
- ดอก (Flower): ดอกเล็กทรงระฆัง สีขาวหรือชมพูอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง บานในฤดูใบไม้ผลิ
- ใบ (Leaf): ใบรูปรีหรือไข่ ขอบเรียบ สีเขียวสด และเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มในฤดูใบไม้ร่วง
ที่มาของ บลูเบอร์รี ผลไม้ป่าของชนพื้นเมือง สู่ซูเปอร์ฟู้ดระดับโลก
ในปี 1911 Elizabeth C. White ร่วมกับ Dr. Frederick V. Coville เริ่มโครงการเพาะปลูกบลูเบอร์รีสายพันธุ์ highbush จากพันธุ์ป่า โดยคัดพันธุ์ และปรับปรุงพันธุ์อย่างเป็นระบบที่ Whitesbog, New Jersey ในปี 1916 พวกเขาเก็บเกี่ยวพืชผลบลูเบอร์รีเชิงพาณิชย์ (first commercial crop) ได้สำเร็จ
ต่อมาในช่วง ปลายทศวรรษ 1999s มีการวิจัยโภชนาการที่เน้น anthocyanin และสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ในบลูเบอร์รี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปริมาณสารเหล่านี้แตกต่างกันได้ทั้งระหว่างสายพันธุ์และระหว่างผล ในสายพันธุ์เดียวกันเอง (13 กันยายน 2025) [1]
ปัจจุบัน บลูเบอร์รีเป็นที่นิยมทั่วโลก ทั้งแบบสด แบบแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งการยอมรับคุณสมบัติทางโภชนาการ เช่น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงหัวใจ และสมอง ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด ในวงการสุขภาพ
Blueberry คืออะไร?
บลูเบอร์รี (Blueberry) เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีขนาดเล็ก สีม่วงน้ำเงินเข้ม รสหวานอมเปรี้ยว และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เดิมทีบลูเบอร์รีเติบโตตามป่าทางตอนเหนือของอเมริกา ก่อนจะถูกนำมาพัฒนาและเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20
หนึ่งในเหตุผลที่บลูเบอร์รีโด่งดังคือคุณค่าทางสารอาหาร ผลไม้ลูกเล็กๆ นี้อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเค แมงกานีส และเส้นใยอาหารสูง อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่ทำให้เกิดสีม่วงน้ำเงินเข้ม และมีส่วนช่วยลดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
เพราะคุณสมบัติเหล่านี้เอง บลูเบอร์รีจึงได้ชื่อว่าเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่ช่วยบำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เสริมการทำงานของสมอง และยังดีต่อผิวพรรณ การรับประทานบลูเบอร์รี่เป็นประจำไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าในระยะยาว หากคุณสนใจอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ ลองอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เฮเซลนัท ประโยชน์คือ ซึ่งก็เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
ที่มา: The history of blueberries: From Native American staple to domesticated superfood (19 มกราคม 2019) [2]
ประโยชน์ของบลูเบอร์รีที่ดีต่อสุขภาพ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

- ป้องกันโรคหัวใจ
บลูเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่ช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่นดีขึ้น จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด - ช่วยเสริมสร้างความจำและสมอง
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการกินบลูเบอร์รีเป็นประจำช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น ช่วยเรื่องความจำและการเรียนรู้ เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง - ลดการอักเสบในร่างกาย
สารโพลีฟีนอลในบลูเบอร์รีมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ทำให้เหมาะสำหรับคนที่มีภาวะอักเสบเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบ หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิก - บำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์
วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง ลดเลือนริ้วรอย และปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV
วิธีเลือกและเก็บรักษาบลูเบอร์รีให้สดนาน รสชาติดี
บลูเบอร์รี เป็นผลไม้ที่ทั้งอร่อย และดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเลือกไม่เป็น หรือเก็บไม่ถูกวิธี ความอร่อยก็หายไปเร็วมาก มาดูเทคนิคง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณได้บลูเบอร์รีคุณภาพดี และเก็บไว้ได้นานขึ้น
- เมื่อแช่แข็ง (freezing) บลูเบอร์รีอย่างรวดเร็ว จะช่วยรักษาระดับสารต้านอนุมูลอิสระ (anthocyanins) ให้เหลือ ประมาณ 95% เมื่อเทียบกับผลสดที่เก็บในตู้เย็นนานหลายวัน
- วิตามินซี และโฟเลตซึ่งละลายน้ำ อาจลดลง ประมาณ 10-20% ระหว่างการแช่แข็งและละลายน้ำ (thawing) แต่การสูญเสียนี้ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับประโยชน์โดยรวม ของผลไม้แช่แข็ง
- การเก็บบลูเบอร์รีสดในตู้เย็นอย่างเหมาะสม สามารถยืดอายุการใช้งานให้ได้ 10-14 วัน โดยที่ผลยังคงความสด และรสชาติได้ดี
- ถ้าแช่แข็งอย่างถูกวิธี (freeze properly) บลูเบอร์รีสามารถเก็บในช่องฟรีซได้นาน 6-12 เดือน โดยที่คุณภาพยังคงอยู่ดี โดยเฉพาะถ้าใช้วิธี “แพ็คผลทีละชั้น (single layer)” แล้วค่อยแยกเก็บในถุง/ภาชนะที่ปิดแน่น
ที่มา: How to Store Blueberries So They Stay Fresh and Juicy (11 กรกฎาคม 2025) [3]
โดยสรุป Blueberry ประโยชน์คือ มากมายกว่าที่เห็น
สรุปแล้ว Blueberry ประโยชน์คือ เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่กินง่าย และคุณค่าทางโภชนาการ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน ซี วิตามินเค แมงกานีส เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ทำให้บลูเบอร์รีช่วยทั้งปกป้องหัวใจ เสริมความจำ ลดการอักเสบ และบำรุงผิวพรรณ
บลูเบอร์รีแห้งมีคุณค่าทางโภชนาการ เท่ากับบลูเบอร์รีสดไหม?
บลูเบอร์รีแห้งยังคงมีสารอาหาร เช่น ใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ แต่ปริมาณวิตามินซีจะลดลง เพราะไวต่อความร้อน และการอบแห้ง อีกทั้งบลูเบอร์รีแห้งบางยี่ห้ออาจมีการเติมน้ำตาลเพิ่ม ดังนั้นควรเลือกแบบ ไม่เติมน้ำตาล (unsweetened) เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า
ควรกินบลูเบอร์รีเวลาไหน ดีที่สุด?
สามารถกินได้ทุกเวลา แต่การกินในตอนเช้า ร่วมกับอาหารเช้า เช่น ซีเรียลหรือโยเกิร์ต จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ ตั้งแต่เริ่มวัน และช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้สมดุลมากขึ้น
- Tags: ผลไม้

แหล่งอ้างอิง


