Fava bean หรือ ถั่วปากอ้า ถือเป็นหนึ่งในถั่วที่เก่าแก่ที่มนุษย์เคยบริโภคมา และยังคงเป็นที่นิยมในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ด้วยรสชาติที่โดดเด่น และคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ถั่วปากอ้าไม่เพียงแต่ใช้ในการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังมีบทบาท ในการปรับปรุงดินด้วย
ถั่วปากอ้า เป็นพืชตระกูลถั่ว ที่มีลักษณะเมล็ดใหญ่ มีสีเขียวถึงน้ำตาล มักพบในฝักยาว ที่มีขนฟูรอบๆ คล้ายกับฝักของ Pea เนื้อของเมล็ดมีความนุ่ม และมีรสชาติที่หวานนิดๆ เมื่อสุก ในประเทศไทยนิยมนำมาอบกรอบทานเป็นของว่าง
ถั่วปากอ้า มีต้นกำเนิดจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน และในหลายพื้นที่ของเอเชียตั้งแต่ 6000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถูกบริโภคโดยอารยธรรมโบราณ และยังคงเป็นส่วนสำคัญ ของอาหารในหลายประเทศ เช่น อิตาลีและกรีซ
ถั่วปากอ้า ปลูกได้ดีในสภาพอากาศที่เย็น และมีดินร่วนซุย มักจะปลูกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเก็บเกี่ยวในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ประเทศอย่างอิตาลี และสหราชอาณาจักร
การผลิตถั่วปากอ้า ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 5,669,185 ตันต่อปีจากพื้นที่ 2.67 ล้านเฮกตาร์ จีนเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆ ด้วยปริมาณ 1,723,588 ตันต่อปี รองลงมาคือเอธิโอเปียที่ 1,070,637 ตันต่อปี [1]
ถั่วปากอ้า อุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน เป็นแหล่งเหล็ก และแมกนีเซียมที่ดี มีประโยชน์ในการลดคอเลสเตอรอลในเลือด และสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ถั่วปากอ้า 100 กรัม ให้พลังงาน 341 กิโลแคลอรี
ที่มา: ถั่วปากอ้า [2]
ถั่วปากอ้ามีจำหน่ายทั้งในรูปแบบสด อบกรอบ สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป และ Supermarket ใหญ่ๆ รวมถึงร้านขายของเฉพาะทาง ที่ขายผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ หรือตามร้านค้าออนไลน์ทั่วไป ก็มีจำหน่ายเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างร้านออนไลน์ shopee ถั่วปาก ปริมาณ 1 กิโลกรัม ราคา 145 บาท [3]
ถั่วปากอ้าต้ม นำมาต้มเพื่อนำมาทำเป็นซุป หรือทำอาหารเช้าแบบตะวันออกกลาง ที่ทำจากถั่วปากอ้าบด นอกจากนี้ สามารถนำมาผัดกับผักอื่นๆ นำถั่วปากอ้ามาผัดกับผักต่างๆ เพื่อทำเป็นอาหารเจได้ สามารถทานเป็นของว่าง เช่นนำมาอบกรอบโรยเกลือ
Fava bean เป็นอาหาร ที่ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเท่านั้น แต่ยังมีวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ที่สะท้อนถึงความสำคัญ ในอาหารของมนุษย์ทั่วโลก การเพิ่มถั่วปากอ้าในอาหาร คือการเพิ่มสารอาหาร และรสชาติในจานอาหาร