Radicchio หรือ แรดิชชิโอ เป็นผักใบสีแดงเข้ม ที่มีรสชาติเฉพาะตัว และได้รับความนิยม ในอิตาลีและทั่วโลก ด้วยลักษณะที่โดดเด่น ทำให้แรดิชชิโอ กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ในการปรุงอาหาร หลากหลายประเภท
แรดิชชิโอ เป็นผักใบ เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Asteraceae มีลักษณะเด่น ด้วยใบสีแดงเข้ม ถึงม่วง ที่มีเส้นสีขาว มีรูปทรงกลมหรือไข่ แรดิชชิโอมีรสชาติขมเล็กน้อย ซึ่งสามารถลดระดับความขม ได้ด้วยการปรุงอาหาร
อุณหภูมิที่เหมาะสม ในการเก็บรักษาแรดิชชิโอคือ 0°C (32°F) ซึ่งอาจคงคุณภาพไว้ได้ 16 ถึง 21 วัน โดยปกติแล้ว จะบรรจุด้วยแผ่น Polymer film ภายในภาชนะลูกฟูก เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ [1]
แรดิชชิโอ ปลูกได้ดี ในสภาพอากาศที่เย็น และมีการปลูกส่วนใหญ่ ในภาคเหนือของ Italy โดยเฉพาะในภูมิภาค Veneto การเพาะปลูกเริ่มต้นจากเมล็ด และสามารถเก็บเกี่ยวได้ หลังจากปลูกประมาณ 85-90 วัน ความต้องการน้ำของแรดิชชิโอ ค่อนข้างสูง เพื่อให้ได้ใบที่กรอบ และมีคุณภาพ
แรดิชชิโอมีถิ่นกำเนิดใน Italy โดยมีการบันทึก การใช้แรดิชชิโอ ในการปรุงอาหารของ Italy ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แรดิชชิโอได้รับความนิยมอย่างมาก ใน Italy และเริ่มแพร่กระจาย ไปยังประเทศอื่นใน Europe และAmerica ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แรดิชชิโอมี fiber สูง และมี vitamin มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีแร่ธาตุเช่น Potassium และ iron แหล่งข้อมูลที่ 1 แรดิชชิโอปริมาณ 100 กรัม Energy 23 kilocalories
ที่มา: พลังงานและสารอาหารจาก Radicchio [2]
แหล่งข้อมูลที่ 2 แรดิชชิโอปริมาณ 1 ถ้วย 40 กรัม Energy 9.2 kilocalories
ที่มา: Radicchio [3]
แรดิชชิโอ เป็นผัก ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงาม ให้กับจานอาหาร แต่ยังเต็มไปด้วย คุณค่าทางโภชนาการ ที่ดีต่อสุขภาพ เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับใครหลายๆ คนที่ต้องการเพิ่ม ผักใบมีสีสัน ในมื้ออาหาร