Zucchini หรือ ซูกินี เป็นผักที่มีรูปทรงยาว และมีสีเขียวอ่อน ได้รับความนิยมในหลายประเทศ ด้วยความอเนกประสงค์ในการประกอบอาหาร และประโยชน์ทางโภชนาการที่สูง ทั้งนี้ ซูกินีไม่เพียงเพิ่มความอร่อยในจานอาหาร แต่ยังเป็นแหล่งวิตามิน และเส้นใยอาหารที่ดีเยี่ยม
ซูกินี เติบโตได้ดี ในสภาพอากาศอบอุ่น และมักจะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ถึงฤดูร้อน พืชนี้ต้องการดินที่มีการระบายน้ำดี และการสัมผัสแสงแดดเต็มที่ เป็นที่นิยมปลูกในอเมริกา, ยุโรป, และออสเตรเลีย
การผลิตซูกินีทั่วโลกในปี 2022 มีปริมาณรวมอยู่ที่ประมาณ 33.63 พันล้านกิโลกรัม โดยประเทศจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด ด้วยปริมาณการผลิต 7.3 พันล้านกิโลกรัม ตามมาด้วยประเทศยูเครน และรัสเซีย ที่มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านกิโลกรัม และสหรัฐอเมริกา 1 พันล้านกิโลกรัม [1]
ซูกินี เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผลยาว สีเขียวอ่อนหรือเข้ม ซึ่งเป็นหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae เดียวกับแตงกวา และ Watermelon ผลของซูกินีมีเนื้อนุ่ม มีเมล็ดเล็กๆภายใน และมีรสชาติอ่อนๆ ทำให้เหมาะสำหรับการปรุงอาหารหลายแบบ เช่น ย่าง, ต้ม, ทอด, หรืออบ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางโภชนาการสูง
ซูกินีมีต้นกำเนิดในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยม จนกระทั่งถูกนำไปปลูกในอิตาลี ในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 ได้รับการพัฒนาเป็นพันธุ์ที่เรารู้จักกันในวันนี้ และได้รับชื่อว่า “zucchini” ซึ่งเป็นคำศัพท์ ในภาษาอิตาลีหมายถึง “แตงกวาน้อย”
เมื่อซูกินีได้รับความนิยมในยุโรป จึงถูกนำไปแพร่กระจายไปยังทวีปอื่นๆ และกลายเป็นส่วนสำคัญ ในอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน และอเมริกัน ที่ใช้ซูกินีในหลากหลายรูปแบบการปรุงอาหาร
ซูกินีมีแคลอรีต่ำ แต่อุดมไปด้วยวิตามินเช่น นอกจากนี้ ยังมีเส้นใยอาหารสูง ที่ช่วยในการย่อย และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ แหล่งข้อมูลที่ 1 ซูกินีปริมาณ100 g มี 16 kcal
ที่มา: Squash, summer, zucchini [2]
แหล่งข้อมูลที่ 2 ซูกินีปริมาณ100 g มี 17 kcal
ที่มา: Zucchini [3]
ซูกินีสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายวิธี นี่คือข้อแนะนำในการนำซูกินีมารับประทาน
ซูกินี เป็นผัก ที่ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ทางโภชนาการสูง และใช้งานได้หลากหลายในครัว แต่ยังช่วยเพิ่มสีสัน และรสชาติในจานอาหาร ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ซูกินีจึงควรเป็นหนึ่งในผัก ที่ควรใส่ในเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพ