ผลเสีย คลอไรด์ ต่อร่างกาย จากความไม่สมดุล

ผลเสีย คลอไรด์

ผลเสีย คลอไรด์ เกิดขึ้นได้เมื่อระดับคลอไรด์ในร่างกายมีความไม่สมดุล ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำเกินไป โดยคลอไรด์เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย แต่เมื่อระดับคลอไรด์เกินค่าปกติ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน ตั้งแต่ความผิดปกติปัญหาเรื้อรัง ที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ

ผลเสีย คลอไรด์ จากระดับในเลือดที่สูงกว่าปกติ

ระดับคลอไรด์ในเลือดที่สูงกว่าปกติ (Hyperchloremia) อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายดังนี้

  • ความไม่สมดุลของเกลือแร่: คลอไรด์มีบทบาท ในการรักษาสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ระดับคลอไรด์ที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของ Electrolyte อื่นๆเช่นโซเดียม และโพแทสเซียม
  • ความผิดปกติของกรด-ด่างในเลือด: ระดับคลอไรด์ที่สูง อาจสัมพันธ์กับภาวะกรดในเลือด (Metabolic acidosis) ซึ่งทำให้ร่างกาย มีความเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลต่อการทำงาน ของอวัยวะต่างๆ
  • การทำงานของไต: คลอไรด์ที่สูง อาจบ่งบอกถึงปัญหา ในการทำงานของไต เช่นภาวะไตเสื่อม หรือวาย ซึ่งทำให้ร่างกาย ไม่สามารถขับคลอไรด์ ออกได้อย่างเหมาะสม ซึ่งพบได้ใน ผลเสีย โซเดียม มักมีอาการเกี่ยวกับไตเช่นกัน
  • ความดันโลหิตสูง: การบริโภคเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) มากเกินไป อาจทำให้ระดับคลอไรด์ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับความดันโลหิต ที่เพิ่มขึ้น

หากพบว่าระดับคลอไรด์ในเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

คลอไรด์สูงบ่งบอกอะไร

ระดับคลอไรด์ในเลือดที่สูงกว่าปกติ (Hyperchloremia) อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ หรือสภาวะต่างๆ ในร่างกาย ดังนี้

  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration): การสูญเสียน้ำจากร่างกาย เช่นจากอาเจียน หรือท้องเสียมากๆ ทำให้ความเข้มข้นของคลอไรด์ ในเลือดเพิ่มขึ้น
  • การรับประทานเกลือมากเกินไป: การบริโภคโซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) ในปริมาณสูง สามารถเพิ่มระดับคลอไรด์ในเลือดได้
  • โรคไต: ความผิดปกติ ในการทำงานของไต อาจทำให้ร่างกาย ไม่สามารถขับคลอไรด์ออก ได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ระดับคลอไรด์ในเลือดสูงขึ้น
  • ภาวะกรดในเลือด (Metabolic acidosis): สภาวะที่ร่างกาย มีความเป็นกรดสูง เช่นจากโรคเบาหวาน หรือโรคระบบทางเดินหายใจ อาจทำให้ระดับคลอไรด์ ในเลือดเพิ่มขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาบางประเภท เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) อาจส่งผลให้ระดับคลอไรด์ในเลือดสูงขึ้น

ที่มา: การวัดระดับคลอไรด์ [1]

 

คลอไรด์คืออะไร และบทบาทในร่างกาย

คลอไรด์ (Chloride) เป็นไอออนลบ (anion) ที่เกิดจากการแยกตัว ของกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ในน้ำ พบได้ในของเหลวต่างๆ ในร่างกาย เช่นน้ำเลือด น้ำเหลือง และน้ำในเซลล์ คลอไรด์มีบทบาทสำคัญในร่างกายดังนี้

  • รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย คลอไรด์ทำงานร่วมกับโซเดียม ในการควบคุมสมดุลของน้ำ และอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ และระบบต่างๆ ในร่างกาย
  • ช่วยสร้างกรดในกระเพาะอาหาร คลอไรด์มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ในกระเพาะอาหาร ซึ่งช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร และฆ่าเชื้อแบคทีเรียในอาหาร
  • สนับสนุนการทำงาน ของระบบประสาท คลอไรด์ช่วยควบคุมการไหล ของไอออนผ่านเซลล์ประสาท ซึ่งมีความสำคัญ ต่อการส่งสัญญาณประสาท และการสื่อสารระหว่างเซลล์
  • ควบคุมความดันโลหิต การรักษาระดับคลอไรด์ในร่างกายให้สมดุล มีส่วนช่วยลดความเสี่ยง ของปัญหาความดันโลหิตผิดปกติ โดยทำงานร่วมกับอิเล็กโทรไลต์ชนิดอื่น เพื่อควบคุมปริมาณของเหลวในหลอดเลือด

คลอไรด์อยู่ในอาหารประเภทใดบ้าง

ผลเสีย คลอไรด์

คลอไรด์เป็นแร่ธาตุที่พบได้ในอาหารหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอาหารที่มีโซเดียมสูง แหล่งอาหารที่มีคลอไรด์สูง ได้แก่

  • เกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์): เป็นแหล่งหลักของคลอไรด์ ในอาหารประจำวัน
  • อาหารทะเล: เช่นกุ้ง ปลาทะเล ซึ่งมีคลอไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม
  • ผักและผลไม้บางชนิด: เช่นมะเขือเทศ ผักกาดหอม ซึ่งมีคลอไรด์ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่ยังเป็นแหล่งที่ดี
  • ผลิตภัณฑ์นม: เช่นนม โยเกิร์ต ซึ่งมีคลอไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม
  • อาหารแปรรูปและเครื่องปรุงรส: เช่นซอสถั่วเหลือง ของหมักดอง ซึ่งมักมีปริมาณคลอไรด์สูง

การบริโภคอาหารเหล่านี้ ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายได้รับคลอไรด์เพียงพอต่อความต้องการ [2]

ระดับคลอไรด์ต่ำเกิดจากอะไร

ระดับคลอไรด์ในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ (Hypochloremia) อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • การสูญเสียของเหลวจากร่างกาย: อาการอาเจียน หรือท้องเสียเป็นเวลานาน สามารถทำให้ร่างกายสูญเสียคลอไรด์ ผ่านของเหลวที่สูญเสียไป
  • ภาวะเลือดเป็นด่าง (Metabolic alkalosis): สภาวะที่ร่างกายมีความเป็นด่างสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับคลอไรด์ในเลือดลดลง
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาขับปัสสาวะ ยาระบาย หรือยา Corticosteroid อาจทำให้ระดับคลอไรด์ในเลือดลดลง
  • โรคต่อมหมวกไตไม่ทำงาน (Addison’s disease): ภาวะที่ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับคลอไรด์ในเลือดต่ำ
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure): การทำงานของหัวใจที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้ระดับคลอไรด์ในเลือดลดลง

ที่มา: คลอไรด์ (Chloride) [3]

ปริมาณต่อวัน และการตรวจระดับคลอไรด์

ตามข้อมูลจากองค์กรสุขภาพส่วนใหญ่ ปริมาณคลอไรด์ที่แนะนำในแต่ละวัน สำหรับผู้ใหญ่ คือประมาณ 2,300 มิลลิกรัม ซึ่งสามารถได้รับจากอาหารที่บริโภคตามปกติ เช่นเกลือแกง และอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมคลอไรด์

การตรวจระดับคลอไรด์สามารถทำได้ผ่านการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ เพื่อประเมินสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับของเหลวหรือระบบทางเดินอาหาร

สรุป ผลเสีย คลอไรด์ สูงหรือต่ำเกิน ล้วนส่งผลกระทบ

ผลเสียคลอไรด์ ไม่ว่าจะในรูปแบบของระดับที่สูงหรือต่ำเกินไป ล้วนส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ทั้งในด้านการทำงานของไต ระบบประสาท การควบคุมสมดุลของของเหลว ดังนั้น การรักษาระดับคลอไรด์ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผ่านการดูแลสุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

66