ไนอะซิน เป็นหนึ่งในวิตามิน ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยให้ร่างกายสร้างพลังงาน จากอาหารที่เราบริโภคทุกวัน ในปัจจุบันนี้ ไนอะซินได้รับความสนใจมากขึ้น ในฐานะอาหารเสริม ที่ถูกนำมาใช้ ในด้านต่างๆ ทั้งเพื่อการเสริมสร้างสุขภาพ และเพื่อประโยชน์ ในแง่การรักษา ในบางประเภท
ในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมาก หันมาใช้ไนอะซิน หรือวิตามินบี 3 ในปริมาณสูง โดยเฉพาะในรูปแบบ ไนอะซินและ NMN (Nicotinamide Mononucleotide) เพื่อเพิ่มระดับ NAD ซึ่งเป็นโมเลกุล ที่มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ของร่างกาย เพื่อป้องกันโรค
แม้ว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ของวิตามินบี 3 จะอยู่ที่ 16 มก. แต่ในทางการแพทย์ มีการใช้ไนอะซินในปริมาณสูงถึง 500 มก. ถึง 3 กรัมต่อวัน เพื่อช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ [1]
ไนอะซินเป็นวิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่อาจมีรูปแบบต่างกัน เช่นไนอะซินจากพืช และสัตว์ รวมถึงไนอะซินสังเคราะห์ ซึ่งไนอะซินสังเคราะห์ บางรูปแบบ อาจมีผลกระทบต่อร่างกาย มากกว่ารูปแบบจากธรรมชาติ
ผู้ที่บริโภคอาหาร ที่มีไนอะซินจากธรรมชาติ เช่นจากเนื้อสัตว์ ไม่จำเป็นต้องกังวล เกี่ยวกับผลข้างเคียง เนื่องจากไนอะซินจากเนื้อสัตว์ มีปริมาณสูง และร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี ในทางกลับกัน การใช้ไนอะซินสังเคราะห์ อาจต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ
การศึกษาการสุ่ม ตัวอย่างแบบสุ่ม แสดงให้เห็นว่า การใช้ไนอะซิน ในปริมาณสูง อาจไม่ช่วยลดความเสี่ยง ของโรคหัวใจ เท่าที่คาดหวัง อีกทั้งยังพบผลข้างเคียง เช่นการเพิ่มขึ้น ของจำนวนผู้ป่วยเบาหวาน ความผิดปกติ ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการติดเชื้อที่รุนแรง ซึ่งเกิดความกังวล ในด้านความปลอดภัย
การศึกษาในปี 2022 พบว่า NMN และ NR (Nicotinamide Riboside) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของไนอะซิน ถูกเปลี่ยนเป็นไนอะซินในกระเพาะอาหาร ก่อนเข้าสู่กระแสเลือด การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจมีความแตกต่าง ในมนุษย์ และสัตว์ทดลอง เนื่องจากการศึกษาในปัจจุบัน ยังจำกัดอยู่เฉพาะในสัตว์ ยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์
ไนอะซินเป็นสารธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) ได้มากถึง 20-40% อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) โดยเฉพาะ LDL ขนาดเล็กที่เป็นอันตราย รวมถึงลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
การทานไนอะซินร่วมกับ โคเอนไซม์คิวเทน ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงหัวใจ โดยโคเอนไซม์คิวเทนเพิ่มพลังงานให้เซลล์หัวใจ ส่วนไนอะซินช่วยปรับระดับไขมันในเลือด ทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และเสริมสุขภาพหลอดเลือด
ปริมาณการใช้ไนอะซิน เพื่อประโยชน์ต่อคอเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ไนอะซิน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอล แนะนำให้รับประทานไนอะซิน ชนิดที่ทำให้เกิดอาการ Flushing ในปริมาณ 1,000-2,000 มก. ต่อวัน [2]
จากการศึกษาใหม่ พบว่าเมตาบอไลต์ ของไนอะซิน มีส่วนช่วย ในการเพิ่มการอักเสบในหลอดเลือด และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แต่ข้อมูลนี้ ยังคงเป็นเพียงการศึกษาเริ่มต้น และยังไม่ได้รับการพิสูจน์ชัดเจน การศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ กับกลุ่มที่ไม่มีประวัติโรคหัวใจ
โดยตรวจสอบเมตาบอไลต์ หลายพันรายการเช่น 2PY และ 4PY ซึ่งพบความแตกต่าง ในระดับเมตาบอไลต์เหล่านี้ ระหว่างกลุ่มที่เป็นโรคหัวใจ และกลุ่มที่ไม่มีโรค ผลกระทบของไนอะซินสังเคราะห์ ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ มักได้รับคำแนะนำให้ใช้ไนอะซิน เพื่อช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี
อย่างไรก็ตาม การใช้ไนอะซินสังเคราะห์ในปริมาณสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และอัตราการเสียชีวิต รวมถึงเพิ่มอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ได้รับการยืนยัน จากการทดลองทางคลินิก [3]
มีคำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับว่าการตอบสนองแบบ Flushing จากการใช้ไนอะซินนั้นเป็นอันตรายหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ โดยกระบวนการนี้ เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด ซึ่งเรียกว่า Vasodilation เนื่องจากไนอะซิน ช่วยเพิ่มการผลิตสารชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Prostaglandin
ซึ่งสาร Prostaglandin เป็นสารไขมันที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ลดความดันโลหิต และส่งเสริมการจับตัวของเลือด นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการช่วยลดไข้ และบรรเทาอาการปวดศีรษะอีกด้วย
ไนอะซินเป็นวิตามิน ที่มีความสำคัญ และมีประโยชน์มากมาย ต่อสุขภาพ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียง ที่ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณสูง หรือในรูปแบบสังเคราะห์ เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ การเลือกรูปแบบ ของไนอะซินที่เหมาะสม และปริมาณที่ปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ