ขิงประโยชน์ มีสาร Gingerol ที่ดีต่อร่างกาย

ขิงประโยชน์ ที่ดีมากมายต่อสุขภาพ (Ginger) ขิงเป็นสมุนไพรที่มีการใช้ประโยชน์ มาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านอาหาร และการแพทย์ ขิงมีลักษณะเด่น คือรสชาติที่เผ็ดร้อน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ขิงเป็นที่นิยม ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก

ขิงประโยชน์ และลักษณะพฤกษศาสตร์ของขิง

  • เหง้า: ขิงมีลำต้นใต้ดิน ที่เรียกว่า “เหง้า” เหง้ามีลักษณะเป็นท่อนๆ มีเปลือกสีน้ำตาล และเนื้อในสีเหลือง หรือสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และรสชาติที่เผ็ดร้อน เหง้าของขิง เป็นส่วนที่ใช้ประโยชน์ ทางอาหารและการแพทย์
  • ลำต้น: ลำต้นของขิง มีลักษณะตั้งตรง สูงประมาณ 1-1.5 เมตร มีลักษณะเป็นข้อๆ และมักจะมีสีเขียวเข้ม
  • ใบ: ขิงมีใบเดี่ยว ที่ออกจากลำต้นโดยตรง ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายแหลม มีความยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม และผิวใบเรียบ มีก้านใบที่สั้น และแข็งแรง
  • ดอกช่อ: ขิงมีดอกที่ออกเป็นช่อ จากปลายลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นกลุ่ม กลีบที่มีสีขาว หรือเหลืองอ่อน

ที่มา: Ginger, Zingiber officinale [1]

ขิงประโยชน์ และ Gingerol สารสำคัญในขิง

จินเจอรอล เป็นสารเคมีสำคัญที่พบในขิง (Zingiber officinale) มีบทบาทสำคัญ ในการให้รสชาติ ที่เผ็ดร้อน และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้จินเจอรอล ยังมีประโยชน์ทางสุขภาพ ที่หลากหลาย และมีการวิจัยอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับคุณสมบัติทางการแพทย์


โครงสร้างและคุณสมบัติ โครงสร้างทางเคมี จินเจอรอลมีโครงสร้าง คล้ายกับ Capsaicin และ ซึ่งเป็นสารเคมี ที่ให้ความเผ็ดในพริก และพริกไทย คุณสมบัติทางเคมีจินเจอรอล เป็นสารประกอบ Phenolic ที่มีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ

ขิงประโยชน์ และข้อมูลโภชนาการของขิง

ขิงในปริมาณต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 79 แคลอรี (kcal) และมีปริมาณสารอาหารอื่นๆ ดังนี้

  • ไขมันทั้งหมด 0.8 g.
  • ไขมันอิ่มตัว 0.2 g.
  • โซเดียม 13 mg.
  • โพแทสเซียม 415 mg.
  • คาร์โบไฮเดรต 18 g.
  • เส้นใยอาหาร 2 g .
  • น้ำตาล 1.7 g.
  • โปรตีน 1.8 g.
  • วิตามินซี 5 mg.
  • แคลเซียม 16 mg.
  • เหล็ก 0.6 mg.
  • วิตามินบี6 0.2 mg.
  • แมกนีเซียม 43 mg.

ที่มา: Ginger root, raw [2]

 

ขิงประโยชน์ ในด้านอาหาร สุขภาพ และการแพทย์

  • ด้านอาหาร ขิงเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในหลายเมนูอาหารทั่วโลก เช่น อาหารไทย อาหารจีน และอาหารอินเดีย ขิงสามารถใช้สด ต้ม หรือแห้งได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ซุป ขิงดอง และชา
  • ด้านสุขภาพ ขิงมีสรรพคุณทางยาอย่างมากมาย เช่น ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และบรรเทาอาการปวดศีรษะ นอกจากนี้ ขิงยังมีคุณสมบัติ ในการต้านการอักเสบ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ด้านการแพทย์แผนไทย และแผนโบราณ ขิงเป็นส่วนประกอบ ในหลายตำรับยาไทย ขิงขับสารพิษ ใช้ในการบำรุงร่างกาย และรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหวัด โรคกระเพาะอาหาร และโรคข้ออักเสบ

ขิงประโยชน์ ที่ดีทางสุขภาพร่างกาย

  • ต้านการอักเสบ จินเจอรอลมีคุณสมบัติ ในการลดการอักเสบ ซึ่งมีประโยชน์ ในการบรรเทาอาการของโรคอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ และโรคข้อเสื่อม
  • ต้านอนุมูลอิสระ จินเจอรอลมีความสามารถ ในการจับอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
  • บรรเทาอาการคลื่นไส้ จินเจอรอลมีประสิทธิภาพ ในการลดอาการคลื่นไส้ และอาเจียน โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเมารถ เมาเรือ หรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา ด้วยเคมีบำบัด
  • บรรเทาอาการปวด การบริโภคจินเจอรอล สามารถช่วยลดอาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ และอาการปวดข้อ
    ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • จินเจอรอลมีผลดี ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยง ของโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จินเจอรอลช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง ลดความเสี่ยง ของการติดเชื้อและโรคต่างๆ

ขิงประโยชน์ วิธีการใช้ขิง และแหล่งที่ซื้อ

  • ขิงสด ขิงสดสามารถนำมาหั่น หรือบดเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้เป็นเครื่องเทศในอาหาร หรือนำมาชงเป็นชาดื่ม
    ขิงแห้ง
  • ขิงแห้งมักใช้ในรูปแบบผง หรือชิ้นเล็กๆ สามารถนำมาใช้ในการทำขนม หรือชงชาได้ เช่นเดียวกับขิงสด
  • ขิงดอง ขิงดองเป็นเครื่องเคียงยอดนิยม ในอาหารญี่ปุ่น เช่น ซูชิ มีรสชาติหวาน และเผ็ดอ่อนๆ

แม้ว่าขิงจะมีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการบริโภคขิงมากเกินไป อาจทำให้แสบร้อนในกระเพาะอาหาร หรือการระคายเคือง ขิงสามารถซื้อได้ทั่วไป เช่นที่ตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าออนไลน์ Lazada Shopee ตัวอย่างจากร้านค้าออนไลน์ freshket จำหน่ายขิง ปริมาณ 1 กิโลกรัม ราคา 80 บาท [3]

สรุป ขิงประโยชน์ ที่ดีทั้งในด้านอาหาร และสุขภาพ

ขิงเป็นสมุนไพร ที่มีคุณประโยชน์ ทั้งในด้านอาหารและสุขภาพ ด้วยสรรพคุณทางยา ที่หลากหลาย และความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ขิงจึงเป็นสมุนไพร ที่ควรมีติดบ้านไว้ สำหรับการดูแลสุขภาพ ในชีวิตประจำวัน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

158