
ข้อมูล เทียนน่า บาร์โตเลตต้า ตำนานกรีฑาหญิงสหรัฐฯ
- J. Kanji
- 25 views

ข้อมูล เทียนน่า บาร์โตเลตต้า คือตำนานนักกรีฑาหญิง ผู้ผสานทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และพลังใจเข้าด้วยกัน อย่างสมบูรณ์แบบ เธอไม่เพียงสร้างชื่อ จากการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก และแชมป์โลกหลายสมัย แต่ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับผู้หญิงทั่วโลก ที่เชื่อว่าความพยายาม สามารถพลิกชีวิตได้
- จุดเริ่มต้นสู่นักกรีฑาทีมชาติ ของบาร์โตเลตต้า
- ผลงาน และสถิติที่บาร์โตเลตต้าทำได้
- ช่วงเวลาฟื้นตัว และบทบาทของบาร์โตเลตต้า
ประวัติและวัยเด็กของบาร์โตเลตต้า
Tianna Bartoletta เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1985 ที่เมืองเอลิเรีย รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นลูกสาวของโจ และเบเวอร์ลี เมดิสัน ครอบครัวของเธอให้ความสำคัญ กับการศึกษา และการเล่นกีฬาเป็นอย่างมาก บาร์โตเลตต้าเริ่มแสดงพรสวรรค์ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะในวิชาพละ และการแข่งขันภายในโรงเรียน
ที่ Elyria High School เธอสร้างชื่อเสียงจากการกระโดดไกล และวิ่งระยะสั้น คว้าแชมป์ระดับรัฐหลายครั้ง ในช่วงมัธยมปลาย และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่ง ในนักกรีฑาเยาวชน ที่น่าจับตามองที่สุด ของโอไฮโอ ในปี 2003 เธอได้รับทุนกรีฑาเข้าเรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยเทนเนสซี (University of Tennessee)
ซึ่งที่นั่นเธอเริ่มสะสมประสบการณ์ ในการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย และได้รับรางวัล All-American หลายรายการ โดยเฉพาะในการแข่งขัน NCAA ที่เธอกระโดดไกลได้เกิน 6.70 เมตรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา เข้าสู่ระดับอาชีพในอนาคต (17 ตุลาคม 2025) [1]
เส้นทางของบาร์โตเลตต้า สู่นักกีฬามืออาชีพ
หลังจากจบการศึกษา บาร์โตเลตต้าเข้าสู่เส้นทาง นักกรีฑาอาชีพเต็มตัวในปี 2005 และปีนั้นเองที่เธอ กลายเป็นดาวรุ่งแห่งวงการกรีฑาโลก เมื่อคว้าเหรียญทอง ในการแข่งขัน World Championships ที่เฮลซิงกิ ด้วยสถิติกระโดดไกล 6.89 เมตร
ซึ่งทำให้เธอเป็นนักกีฬาหญิงอเมริกัน ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้แชมป์โลก ในประเภทนี้ เธอได้รับการยอมรับจากสื่อทั่วโลก และได้รับเลือกเป็นหนึ่ง ในนักกรีฑาหญิงดาวรุ่ง แห่งปีของสหรัฐฯ ช่วงปี 2006–2009 บาร์โตเลตต้าต้องเผชิญความท้าทาย จากอาการบาดเจ็บ และฟอร์มตก แต่เธอยังคงพยายาม ฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง
และได้ขยายขอบเขตของตัวเอง ด้วยการเข้าร่วมทีมบ็อบสเลดหญิง ของสหรัฐฯ ในปี 2012 เพื่อรักษาความแข็งแกร่ง ของกล้ามเนื้อ และเสริมความเร็วในช่วงสตาร์ต ซึ่งประสบการณ์นี้ ช่วยให้เธอกลับมามีแรงบันดาลใจ และความมั่นใจอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่โอลิมปิกลอนดอน
โอลิมปิก 2012 สู่จุดสูงสุดในฐานะทีมชาติ
โอลิมปิก ลอนดอน 2012 คือปีที่บาร์โตเลตต้า กลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ เธอได้รับคัดเลือก เป็นหนึ่งในทีมวิ่งผลัด 4×100 เมตรหญิงของสหรัฐฯ ร่วมกับ อลิสัน เฟลิกซ์ (Allyson Felix), Bianca Knight และ Carmelita Jeter ทีมของเธอสร้างสถิติโลกใหม่ ที่เวลา 40.82 วินาที (11 สิงหาคม 2012) [2]
ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในสถิติ ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ การวิ่งผลัดหญิง เธอทำหน้าที่วิ่งขาแรก ได้อย่างแม่นยำ และทรงพลัง ช่วยให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ต้น จนคว้าเหรียญทองอย่างยิ่งใหญ่
นอกจากผลงานในทีมแล้ว บาร์โตเลตต้ายังได้เข้าร่วม การแข่งขันกระโดดไกลหญิง ในโอลิมปิกครั้งนั้นด้วย แม้จะไม่ได้ขึ้นโพเดียม แต่ถือเป็นการเตรียม พร้อมสำหรับการกลับมา ที่ยิ่งใหญ่ในอีกสี่ปีต่อมา
บาร์โตเลตต้ากับเหรียญทองโอลิมปิก 2016

หลังจากผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนัก และต่อสู้กับอาการบาดเจ็บหลายครั้ง บาร์โตเลตต้ากลับมา อย่างสง่างาม ในโอลิมปิก ริโอ 2016 เธอทำผลงานสุดยอด ในรอบชิงชนะเลิศ กระโดดไกลหญิง โดยกระโดดได้ระยะ 7.17 เมตร
ซึ่งเป็นสถิติส่วนตัวใหม่ และเพียงพอ ที่จะคว้าเหรียญทองเหนือ Brittney Reese เพื่อนร่วมชาติของเธอ ไปอย่างเฉียดฉิว นี่เป็นเหรียญทองเดี่ยว เหรียญแรกในชีวิตของเธอ และตอกย้ำสถานะ หนึ่งในนักกีฬาหญิง ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสหรัฐฯ (17 สิงหาคม 2016) [3]
นอกจากนั้น บาร์โตเลตต้ายังร่วมทีมวิ่งผลัด 4×100 เมตรอีกครั้ง และช่วยให้ทีมสหรัฐฯ ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ คว้าเหรียญทองที่สอง ในโอลิมปิกครั้งเดียว ถือเป็นการปิดฉากการแข่งขัน ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในอาชีพของเธอ
ช่วงเวลาที่ยากลำบากของบาร์โตเลตต้า
หลังจากปีทองในริโอ ชีวิตของบาร์โตเลตต้า ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เธอต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ปัญหาชีวิตแต่งงาน และแรงกดดัน จากการรักษาฟอร์มระดับโลก เธอยอมรับว่า เคยคิดจะเลิกแข่งขัน แต่สุดท้ายเลือกที่จะยืนหยัด และใช้ประสบการณ์เหล่านั้น มาเป็นพลังใจให้ตัวเอง
ในปี 2018–2019 เธอกลับมาลงแข่งขัน ในรายการระดับประเทศ และระดับโลกอีกครั้ง แม้ไม่ได้ทำสถิติสูงสุดเหมือนเดิม แต่ความมุ่งมั่นของเธอ กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้นักกีฬารุ่นใหม่ โดยเฉพาะในประเด็น เรื่องสุขภาพจิตของนักกีฬา ซึ่งเธอพูดถึงบ่อยครั้งว่า “ความแข็งแรงที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ในร่างกาย แต่คือการเอาชนะเสียงในหัว ของตัวเอง”
บทบาทของบาร์โตเลตต้า พลังของการแบ่งปัน
นอกเหนือจากการเป็นนักกีฬา บาร์โตเลตต้ายังใช้เวลา หลังจากการแข่งขัน ในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เธอเปิดเว็บไซต์ส่วนตัว และจัดเวิร์กช็อป เกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจ ความมั่นใจ และการดูแลสุขภาพจิต สำหรับนักกีฬา และสตรีทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังเป็นผู้เขียนหนังสือ บันทึกชีวิตในชื่อ “Survive and Advance” ซึ่งเล่าถึงเส้นทางจากความพ่ายแพ้ สู่ชัยชนะอย่างตรงไปตรงมา เธอยังทำงานร่วมกับ องค์กรกีฬาเยาวชนในสหรัฐฯ เพื่อผลักดันโอกาส ให้กับนักกีฬาหญิงรุ่นใหม่ และใช้ประสบการณ์ของตัวเอง ในการสนับสนุนให้ผู้หญิง มีพื้นที่มากขึ้น ในวงการกีฬาอาชีพ
โดยสามารถสั่งซื้อหนังสือของเธอได้ที่ bookscape
ข้อมูล เทียนน่า บาร์โตเลตต้า กับบทสรุป
บาร์โตเลตต้าไม่เพียง เป็นสัญลักษณ์ของความเร็ว และพละกำลัง แต่ยังเป็นแบบอย่าง ของความอดทน การกลับมายืนหยัดหลัง ความล้มเหลว และการใช้ชื่อเสียง เพื่อส่งต่อพลังบวกให้ผู้อื่น ชีวิตของเธอสะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจาก พรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความกล้า และหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
บาร์โตเลตต้าเคยได้เหรียญทอง โอลิมปิกกี่เหรียญ ?
เธอคว้าเหรียญทองรวมทั้งหมด 3 เหรียญ จากโอลิมปิก 2012 (1 เหรียญทีมในวิ่งผลัด 4×100 เมตร ) และโอลิมปิก 2016 (2 เหรียญ: กระโดดไกล 7.17 เมตร และวิ่งผลัด 4×100 เมตร) ซึ่งทำให้เธอ เป็นหนึ่งในนักกรีฑาหญิง ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
สถิติกระโดดไกลที่ดีที่สุด ของเธอคือเท่าไร ?
7.17 เมตร ซึ่งทำได้ในโอลิมปิก ริโอ 2016 รอบชิงชนะเลิศ โดยเป็นระยะที่มากกว่าสถิติเก่า ของตัวเองกว่า 10 เซนติเมตร และเพียงพอให้เธอ คว้าเหรียญทองเหนือ Brittney Reese เพื่อนร่วมชาติ ไปอย่างเฉียดฉิวเพียง 0.02 เมตร
- Tags: กีฬา


