ข้าวฟ่างไข่มุก หรือ Pearl Millet เป็นธัญพืชที่มีความสำคัญ ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบแอฟริกา และเอเชียใต้ ข้าวฟ่างไข่มุกมีความโดดเด่น ในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการที่สูง และเป็นแหล่งอาหารหลัก สำหรับประชากรในพื้นที่ ที่มีสภาพอากาศแห้งแล้ง ข้าวฟ่างชนิดนี้มีความสามารถ ในการเจริญเติบโต ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
ข้าวฟ่างไข่มุกหรือ Pennisetum glaucum เป็นพืชธัญพืชที่ปลูกอย่างแพร่หลาย ในพื้นที่แห้งแล้ง และกึ่งแห้งแล้งทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาและอินเดีย ข้าวฟ่างชนิดนี้เป็นหนึ่งในพืช ที่ปลูกมายาวนานที่สุด และมีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ดี ในสภาพแวดล้อมที่มีฝนตกน้อย และดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์
ข้าวฟ่างไข่มุกเป็นแหล่งอาหารสำคัญ สำหรับประชากรหลายล้านคน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พืชธัญพืชชนิดอื่น ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี เมล็ดของข้าวฟ่างไข่มุก มีลักษณะกลมเล็ก สีขาวหรือสีเหลืองทอง เมื่อสุกจะมีรสชาติหวานเล็กน้อย และมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่ม [1]
ข้าวฟ่างไข่มุกเป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับ ข้าวฟ่าง ปลอดกลูเตน ที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือ ปลอดกลูเตนเช่นเดียวกับ บัควีท ปลอดกลูเตน และ ควินัว ปลอดกลูเตน Gluten เป็นโปรตีนที่พบในธัญพืชบางชนิดเช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ เนื่องจากข้าวฟ่างไข่มุกปลอดกลูเตน จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ที่แพ้กลูเตน หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการบริโภคกลูเตนในอาหาร นี่คือข้อมูลทางโภชนาการที่สำคัญ ของข้าวฟ่างไข่มุกต่อ 100 กรัม
ที่มา: Know Your Millets [2]
ที่มา: Pearl Millet [3]
ข้าวฟ่างไข่มุกสามารถนำมาใช้ในอาหาร ได้หลากหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารที่ต้องการทางเลือกที่ปลอดกลูเตน ตัวอย่างวิธีในการนำข้าวฟ่างไข่มุก มาใช้ในอาหาร
ข้าวฟ่างไข่มุกเป็นธัญพืช ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญ ในด้านการเกษตร ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย ข้าวฟ่างไข่มุก จึงเป็นหนึ่งในธัญพืช ที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ ในเมนูอาหาร