
ถั่วที่มีวิตามินอี ประโยชน์ คุณค่าธรรมชาติ
- Fiona
- 28 views

ถั่วที่มีวิตามินอี วิตามินอีเป็นสารอาหาร ที่มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะในด้านการบำรุงผิวพรรณ และการต้านอนุมูลอิสระ ถั่วเป็นหนึ่งในแหล่ง ที่อุดมไปด้วยวิตามินอี และในบทความนี้ เราจะพามาดูถั่ว 3 ชนิดที่มีปริมาณวิตามินอีสูง รวมถึงถั่วชนิดอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ถั่วที่มีวิตามินอี ยกตัวอย่างถั่วที่มีวิตามินอีสูง
- อัลมอนด์ มีวิตามินอี (Almonds) อัลมอนด์เป็นถั่ว ที่มีวิตามินอีสูงมากที่สุดชนิดหนึ่ง แค่เพียง 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม) ของอัลมอนด์ ก็ให้วิตามินอีมากถึง 7.3 มิลลิกรัม หรือประมาณ 49% ของปริมาณ ที่ร่างกายต้องการต่อวัน วิตามินอีในอัลมอนด์ ช่วยในการบำรุงผิว ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- บราซิลนัท มีวิตามินอี (Brazil Nuts) บราซิลนัทเป็นถั่ว ที่มีวิตามินอีและ Selenium ในปริมาณสูง ซึ่งช่วยในการป้องกันการอักเสบ และการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนั้น ยังช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย การบริโภคบราซิลนัท ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ให้แข็งแรง
- ถั่วลิสง มีวิตามินอี (Peanuts) ถั่วลิสงเป็นอีกหนึ่งชนิดของถั่ว ที่มีวิตามินอีในปริมาณที่พอสมควร ประมาณ 2.4 มิลลิกรัมต่อ 1 ออนซ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 16% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากวิตามินอีแล้ว ถั่วลิสงยังเป็นแหล่งของโปรตีน ไขมันไม่อิ่มตัว และไฟเบอร์ ที่ช่วยในการลดความเสี่ยง ของโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ถั่วอื่นๆที่มีวิตามินอี นอกจากถั่วทั้งสามชนิดที่กล่าวมาแล้ว ยังมีถั่วอื่นๆ ที่มีวิตามินอี ในปริมาณที่น่าพอใจ เช่น pecans hazelnuts และเมล็ดทานตะวัน การบริโภคถั่วเหล่านี้เป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพ และทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็น อย่างครบถ้วน
ถั่วที่มีวิตามินอี และวิตามินอีคืออะไร พบในอาหารใด

วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารอาหาร ที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญ ในการปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ และนำไปสู่โรคเรื้อรังหลายชนิด วิตามินอีมีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่พบมากที่สุดในอาหาร และร่างกายมนุษย์คือ Alpha-tocopherol
วิตามินอีพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่นถั่วต่างๆ เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินอี นอกจากนี้ยังพบในเมล็ดทานตะวัน น้ำมันพืช เช่นน้ำมันมะกอก และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน รวมถึงผักใบเขียว เช่น ผักโขมและคะน้า avocado ก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง [1]
ถั่วที่มีวิตามินอี ประโยชน์วิตามินอีมากกว่าบำรุงผิวพรรณ
- ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant): วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่นโรคหัวใจ มะเร็ง และการเสื่อมของเซลล์ ที่เกิดจากการแก่ชรา
- บำรุงผิวพรรณ (Skin Health): วิตามินอีเป็นส่วนประกอบ ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิด เนื่องจากช่วยในการรักษาความชุ่มชื้น และลดการอักเสบ นอกจากนี้ ยังช่วยลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำ ทำให้ผิวดูสุขภาพดี และอ่อนเยาว์
- ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System Support): วิตามินอีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยปกป้องเซลล์เม็ดเลือดขาว จากความเสียหาย ทำให้ร่างกาย สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค และการติดเชื้อต่างๆได้ดีขึ้น
- ป้องกันโรคหัวใจ (Heart Health): การบริโภควิตามินอี ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยลดความเสี่ยง ของโรคหัวใจได้ โดยวิตามินอีช่วยลดการเกิด oxidation ของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการสะสม ของคราบไขมันในหลอดเลือด
- บำรุงสายตา (Eye Health): วิตามินอีมีบทบาทในการปกป้องเซลล์ ที่สำคัญในดวงตา จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคตา ที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่นโรคต้อกระจก และโรคจอประสาทตาเสื่อม
- สนับสนุนการทำงาน ของระบบประสาท (Neurological Support): วิตามินอีมีความสำคัญ ต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยป้องกันการเกิด oxidation ของเซลล์ประสาท ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยง ของโรคที่เกี่ยวข้อง กับการเสื่อมของระบบประสาท เช่นโรคอัลไซเมอร์
ที่มา วิตามินอี [2]
ถั่วที่มีวิตามินอี ปริมาณวิตามินอีที่ควรบริโภคแต่ละวัน
ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำให้บริโภคในแต่ละวัน จะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ และสถานะสุขภาพของแต่ละคน ดังนี้
- ทารก 0-6 เดือน 4 mg. และทารก 7-12 เดือน 5 mg.
- เด็ก 1-3 ปี 6 mg. เด็กอายุ 4-8 ปี 7 mg. และเด็กอายุ 9-13 ปี: 11 mg.
- วัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุ 14 ปีขึ้นไป 15 mg.
- หญิงตั้งครรภ์ 15 mg.
- หญิงให้นมบุตร 19 mg.
การได้รับวิตามินอีจากอาหารที่หลากหลาย เช่นผัก ผลไม้ ถั่ว และเมล็ดพืช จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอีเพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารเสริม [3]
ถั่วที่มีวิตามินอี ข้อแนะนำการทานวิตามินอี
- ทานในปริมาณที่เหมาะสม (Recommended Dosage): ควรทานวิตามินอี ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ หรือฉลากผลิตภัณฑ์ หากเป็นการเสริมวิตามินอี จากอาหารเสริม ควรทานตามที่ระบุในฉลาก หรือที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
- ทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน (With Fat-Containing Meals): เนื่องจากวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การทานวิตามินอี ควรทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อยเช่น avocado น้ำมันมะกอก หรือปลา เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น
- เสริมจากแหล่งธรรมชาติ (Natural Sources): พยายามรับวิตามินอี จากแหล่งอาหารธรรมชาติเช่น ถั่ว เมล็ดพืช น้ำมันพืช และผักใบเขียว การได้รับวิตามินอีจากอาหารธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงของการได้รับวิตามิน ในปริมาณที่สูงเกินไป
ถั่วที่มีวิตามินอี ข้อควรระวังการทานวิตามินอี
- การทานเกินขนาด (Overconsumption): วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นหากทานในปริมาณมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถขับออกได้อย่างรวดเร็ว การทานวิตามินอีในปริมาณสูงเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่นเลือดออกมากผิดปกติ เนื่องจากวิตามินอี สามารถลดการแข็งตัวของเลือดได้
- ปฏิกิริยากับยาบางชนิด (Drug Interactions): วิตามินอีอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet) และยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจทำให้การรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ก่อนเริ่มทานวิตามินอี ร่วมกับยาประจำ
- ภาวะสุขภาพบางอย่าง (Existing Health Conditions): ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ควรระมัดระวัง ในการทานวิตามินอี เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดเลือดออกมากกว่าปกติ
- ผลข้างเคียง (Side Effects): การทานวิตามินอีในปริมาณสูง เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่นอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย และอ่อนเพลีย หากมีอาการเหล่านี้ ควรหยุดทานวิตามินอี และปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป ถั่วที่มีวิตามินอี เสริมสร้างสุขภาพ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ
ถั่วที่มีวิตามินอี และมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การบริโภคถั่วอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์และสดใส ดังนั้นอย่าลืมเพิ่มถั่วลงในเมนูอาหารประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
- Tags: ถั่ว


