
ทำไม บูลล์มาสทิฟ ไม่เห่า พฤติกรรมนี้ดีหรือควรกังวล ?
- Pet Noi
- 25 views

ทำไม บูลล์มาสทิฟ ไม่เห่า กลายเป็นคำถามที่ทาสหมาหลายคนสงสัย เพราะน้องเงียบจนเหมือนเก็บอารมณ์เก่ง กว่าหมาบางสายพันธุ์เสียอีก ความนิ่งแบบนี้อาจเป็นทั้งเสน่ห์ และสัญญาณที่ควรสังเกต จึงต้องเข้าใจธรรมชาติให้ลึกก่อนตัดสินใจ ว่าความเงียบนี้ดีหรือไม่ดีจริง ๆ
- เปิดสาเหตุที่บูลล์มาสทิฟ ไม่เห่าเลย
- พฤติกรรมของการไม่เห่า และการดูแล
ทำไมบูลล์มาสทิฟไม่เห่า เหมือนสุนัขพันธุ์อื่น ๆ ?
“บูลล์มาสทิฟ” หรือ “อิงลิชมาสทิฟ” ไม่ก็ “มาสทิฟอังกฤษ” ถูกพัฒนามาให้ทำงานแบบเงียบเชียบ จึงไม่ค่อยใช้เสียงเตือน เหมือนสายพันธุ์ที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นกว่า ทำให้หลาย ๆ บ้านรู้สึกว่าน้อง “นิ่งเกินไป” ทั้งที่เป็นธรรมชาติของพันธุ์นี้อยู่แล้ว ความเงียบนี้ยังสะท้อนการประเมิน สถานการณ์อย่างสุขุม
ซึ่งต่างจากสุนัขพลังเยอะ ที่ตอบสนองเร็วกว่า อย่าง โดเบอร์แมน ก้าวร้าวจริงไหม จึงไม่ควรตีความว่า น้องเงียบเพราะไม่ผูกพัน หรือไม่สนใจเจ้าของ แต่ต้องสังเกตว่า ความเงียบยังอยู่ในกรอบพฤติกรรมปกติไหม เพราะแม้เป็นสายพันธุ์นิ่ง ก็ยังควรมีจังหวะสื่อสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เห็นเป็นช่วง ๆ
นิสัยเงียบ สุขุม และบทบาทดั้งเดิม
Mastiff ถูกวางรากฐานนิสัย มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1800 และได้รับการพัฒนาจริงจัง ให้สายพันธุ์มันคงที่เมื่อปี ค.ศ. 1880 เพื่อให้เป็น “สุนัขเฝ้าไร่” ที่ต้องทำงานแบบไม่ใช้เสียง จึงเกิดความสุขุมที่เห็นมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโดยเฉพาะในอังกฤษ อาทิเช่น เรื่องสั้นหรือภาพยนตร์ (1 พฤศจิกายน 2025) [1]
และมีข้อมูลว่า เจ้าของส่วนใหญ่กว่า 80% ยืนยันว่า “น้องแทบไม่เห่าโดยไม่จำเป็น” ความนิ่งนี้ยังมาพร้อมการประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ แบบใจเย็น ต่างจากสายพันธุ์ที่ตอบสนองเร็ว อย่าง เคน คอร์โซ่ ถูกห้ามเลี้ยงประเทศไหน และมักเห่าก่อนคิด ทำให้บูลล์มาสทิฟดูเหมือน “เงียบเกินไป” สำหรับมือใหม่
แต่ความเงียบนี้ไม่ใช่ข้อเสีย กลับเป็นสัญญาณของสมาธิ บวกการควบคุมตัวเองสูง ซึ่งถูกพัฒนามาจากบทบาทดั้งเดิม ที่ต้องจับผู้บุกรุกโดยไม่ทำให้พื้นที่แตกตื่น เพียงแค่ต้องระวังความเชื่อผิด ๆ ที่คิดว่าน้องเงียบเพราะไม่สนใจ จริง ๆ แล้ว แบบนี้มันเป็นการสื่อสารแบบละเอียดอ่อน ที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ต่างหาก
พฤติกรรมไม่เห่ากับความเข้าใจผิด ที่เจ้าของมักเจอ
หลาย ๆ บ้านมักเข้าใจผิดว่า บูลล์มาสทิฟไม่เห่านั้นคือ “นิสัยเย็นชา” ทั้งที่จริง ๆ นิสัยนี้ถูกหล่อหลอมมา ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1800 ให้ทำงานแบบเงียบ และประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ก่อนตอบสนองเสมอ เจ้าของหน้าใหม่จำนวนกว่า 70% มักคิดว่าน้องเงียบเพราะไม่ผูกพัน
แต่ความจริงคือ บูลล์มาสทิฟสื่อสารผ่านน้ำหนักตัว สายตา และการเข้าใกล้มากกว่าการเห่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่แสดงออกด้วยเสียง อย่าง ร็อตไวเลอร์ เพศผู้เพศเมีย บูลล์มาสทิฟจะใช้วิธี “เดินเข้ามาแบบเนียน ๆ” แทน ทำให้หลายคนตีความผิดว่าเฉยชา ทั้งที่จริงน้องกำลังบอกว่า “อยู่ตรงนี้นะ”
อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าของเลือกเลี้ยงให้พอดี ในรูปแบบที่เหมาะสมจริง ๆ พวกมันจะกลายเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ มีความภักดีต่อครอบครัว แต่อาจจะระมัดระวังตัวเองจากคนแปลกหน้า ดังนั้น เพียงแค่เข้าใจรูปแบบการสื่อสารนี้ ความเงียบจะกลายเป็นเสน่ห์ในทันที (2025) [2]
พฤติกรรมไม่เห่าในชีวิตจริง และการดูแลให้สมดุล

ในชีวิตจริง บูลล์มาสทิฟที่แทบไม่เห่า มักเลือกสื่อสารด้วยท่าทาง บวกสายตามากกว่าเสียง ทำให้บ้านเงียบขึ้นแต่ก็อบอุ่นขึ้น ด้วยวิธีของน้องเอง หลาย ๆ คนมักคิดว่าความเงียบคือความเฉย แต่จริง ๆ น้องกำลังอ่านบรรยากาศ และตอบสนองแบบสุขุม ตามนิสัยดั้งเดิมที่ติดตัวมา
การดูแลจึงต้องเน้นกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ทั้งการเดินเล่นแบบไม่เร่งรีบ หรือปล่อยให้น้องได้มีพื้นที่ส่วนตัว ในจังหวะที่ต้องการ เนื่องจากน้องเป็นสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงต่อวัน บวกกับการดูแลขน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง (2025) [3]
ปัจจัยรอบตัวที่ทำให้เงียบมากขึ้น หรือเงียบน้อยลง
บูลล์มาสทิฟมักเงียบขึ้น เมื่อเติบโตในบ้านที่บรรยากาศสงบ และจากข้อมูลในปี 2020 มีการบันทึกว่า สุนัขสายพันธุ์นี้ตอบสนองด้วยท่าทาง มากกว่าเสียงถึง 70% ในบ้านที่จังหวะชีวิตนิ่ง ในทางตรงกันข้าม หากบ้านมีสิ่งเร้าสูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ น้องอาจแสดงเสียงมากขึ้นเล็กน้อย
เพื่อสื่อสารสถานการณ์ ความผูกพันกับเจ้าของก็มีผล เพราะบ้านที่มีกิจวัตรชัดเจน ให้เวลาใกล้ชิดสม่ำเสมอ มักทำให้น้องรักษานิสัยเงียบแบบมั่นคงกว่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่ขี้เห่า โดยธรรมชาติ บูลล์มาสทิฟต้องการเพียงความชัดเจนของสภาพแวดล้อม เพื่อคงความนิ่งของพฤติกรรม
สุดท้ายแล้ว ปัจจัยรอบตัวต่าง ๆ เป็นเหมือนจังหวะดนตรีในบ้าน ยิ่งนิ่งเท่าไร น้องยักษ์สายสุขุมก็จะยิ่งเงียบละมุน ตามแบบฉบับของน้องมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเจ้าของมั่นใจว่าบ้านของตัวเองไม่วุ่นวาย หรือไม่มีเสียงดังใด ๆ เกิดขึ้นบ่อย ๆ น้องก็จะเงียบแบบปกติ ไม่ใช่เงียบเพราะซึมป่วย
ข้อควรรู้เล็ก ๆ เพื่อดูแลให้พฤติกรรมสมดุล
การดูแลบูลล์มาสทิฟให้พฤติกรรมสมดุล ไม่จำเป็นต้องเข้มงวด แต่ต้องมีขอบเขตที่น้องเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ความเงียบของน้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ความกดดัน บ้านที่จังหวะชีวิตชัดเจนอาทิเช่น เวลาเล่น เวลาพัก และเวลาที่เจ้าของให้ความสนใจ ช่วยให้น้องรู้จุดยืนของตัวเองมากขึ้น
และลดโอกาสพฤติกรรมสับสนได้ หลาย ๆ คนยังเข้าใจผิดว่า บูลล์มาสทิฟนิ่งเพราะ “เฉยชา” ทั้งที่จริงความเงียบของน้องคือ วิธีอ่านสถานการณ์ก่อนตอบสนอง เหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่เลือกพูดเมื่อจำเป็น การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในบ้าน ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป
เพราะถ้าบ้านเปลี่ยนเร็วจนเกินไป อย่างมีคนมาบ้านเยอะ หรือเปลี่ยนโซนต่าง ๆ น้องอาจใช้พฤติกรรมเงียบมากขึ้น เพื่อรับมือความไม่มั่นใจ ท้ายที่สุด ความสมดุลเกิดจากการฟังน้อง บวกการมอบพื้นที่ให้น้องเป็นตัวเอง ความเงียบที่นุ่มละมุนแบบนี้ จึงอยู่กับครอบครัวได้อย่างลงตัว
สรุป ทำไมบูลล์มาสทิฟ ถึงไม่ค่อยเห่าเลย ?

เพราะธรรมชาติของบูลล์มาสทิฟเป็นหมานิ่ง สุขุม ชอบประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัว ก่อนแสดงออกเสมอ พวกมันจึงไม่เห่าเกินจำเป็น ความเงียบนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่คือเอกลักษณ์ที่ทำให้การอยู่ร่วมกับครอบครัว อบอุ่นขึ้นแบบไม่ต้องพึ่งเสียงดัง
บูลล์มาสทิฟไม่เห่ามันปกติ หรือควรกังวล ?
ส่วนใหญ่แล้ว การไม่เห่าคือธรรมชาติของบูลล์มาสทิฟที่สุขุม และมั่นใจในตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องส่งเสียงตลอดเวลา แต่ถ้านิ่งผิดปกติ หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวเลย อาจเป็นสัญญาณว่า ต้องสังเกตเพิ่มนิดหน่อย เพื่อให้ความเงียบนี้ยังคงเป็นความสงบ ที่สบายใจของทุกคนในบ้าน
แล้วบ้านทาสหมา เหมาะกับสุนัขไม่เห่าตัวนี้ไหม ?
บ้านที่ชอบความสงบ ต้องการน้องที่อยู่เป็นเพื่อนแบบนิ่ง ๆ ไม่รบกวนมาก มักเข้ากับบูลล์มาสทิฟได้ดี เพราะน้องเป็นสายเงียบแต่อบอุ่น แต่ถ้าบ้านต้องการสุนัขที่เตือนภัยเก่ง หรือส่งสัญญาณด้วยเสียงบ่อย ๆ อาจต้องปรับความคาดหวังนิด ๆ เพื่อให้ทั้งบ้านและน้อง อยู่ด้วยกันอย่างสบายใจที่สุด
แหล่งอ้างอิง


