ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร อันตราย ผลเสียข้างเคียง

ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร

ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร เป็นเรื่องที่ทุกคนสงสัย เพราะทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย และกลิ่นเฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นที่ชื่นชอบ ของคนหลายคน การทานทุเรียน อาจมีข้อควรระวัง เนื่องจากการทาน ร่วมกับอาหาร หรือเครื่องดื่มบางประเภท อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้

ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร อาหารเครื่องดื่ม ที่ไม่ควรทานกับทุเรียน

  • แอลกอฮอล์ การรับประทาน ทุเรียน ร่วมกับแอลกอฮอล์ สามารถเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง ซึ่งอาจทำให้เกิด อาการปวดหัว คลื่นไส้ และหัวใจเต้นเร็ว นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การบริโภคทั้งสองพร้อมกัน อาจเพิ่มความดันโลหิตสูง ขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม ทุเรียนมีส่วนประกอบของไขมัน และน้ำตาลสูง การรับประทานร่วมกับนม หรือผลิตภัณฑ์จากนม อาจทำให้ระบบย่อยอาหาร ทำงานหนักขึ้น และอาจก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้องได้
  • กาแฟ การดื่มกาแฟ หลังจากรับประทานทุเรียน อาจทำให้เกิดการเสริมกัน ของการกระตุ้นระบบประสาท และหัวใจ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการใจสั่น วิงเวียน และความรู้สึกไม่สบาย
  • อาหารที่มีส่วนประกอบ ของเนื้อสัตว์ไขมันสูง เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงเช่น หมูสามชั้น หรือเนื้อวัวติดมัน เมื่อรับประทานร่วมกับทุเรียน จะทำให้ระบบย่อยอาหาร ทำงานหนักมากขึ้น และอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องเฟ้อ
  • ทุเรียนห้ามกินกับผลไม้อะไร อาหารที่มีน้ำตาลสูง การรับประทานทุเรียน ร่วมกับอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือ ผลไม้น้ำตาลสูง อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดสูง และเพิ่มโอกาส ในการเป็นโรคเบาหวาน อีกทั้งยังทำให้เกิดการสะสมไขมัน ในร่างกายมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วน 

ทุเรียนไม่ควรกินกับอะไรและไม่ควรทานทุเรียนเกินกี่กรัม

การบริโภคทุเรียนควรมีความพอดี และไม่ควรเกินขนาด เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับพลังงาน และน้ำตาลมากเกินไป โดยปริมาณที่แนะนำ สำหรับการบริโภคทุเรียน ต่อวันคือประมาณ 100 กรัม หรือเท่ากับ 2 เม็ดเล็ก

ทุเรียนมีปริมาณพลังงานที่สูง เมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ทุเรียนห้ามกินกับผลไม้อะไร เช่น มะม่วง ลิ้นจี่ มังคุด นอกจากนี้ กรมอนามัย ยังแนะนำ ให้บริโภคทุเรียน ไม่เกิน 1-2 เม็ดต่อวัน เพื่อควบคุมปริมาณพลังงาน และน้ำตาลที่ได้รับ [1]

ทุเรียนไม่ควรกินกับอะไรและระดับน้ำตาลในเลือด

ทุเรียนเป็น ผลไม้ ที่มีรสหวาน และให้พลังงานสูง ซึ่งอาจส่งผล ต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยทุเรียนมีค่าดัชนีน้ำตาล Glycemic Index, GI ที่ต่ำกว่าผลไม้บางชนิด เช่น มะละกอ สับปะรด และแตงโม ค่าดัชนีน้ำตาลของทุเรียน อยู่ที่ประมาณ 49 ซึ่งถือว่า อยู่ในระดับปานกลาง

ค่าดัชนีน้ำตาลแบบ Glycemic Load, GL ของทุเรียนสำหรับการบริโภค 100 กรัม มีค่าประมาณ 11.8 ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง แต่หากบริโภคเนื้อทุเรียน เพิ่มขึ้นเป็น 200 กรัม ค่า GL จะเพิ่มขึ้นเป็น 23.67 ซึ่งถือว่าสูงดังนั้น การทานทุเรียน ไม่ควรเกินปริมาณที่จะทำให้ค่า GL สูงกว่า 20 เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด [2]

ทุเรียนไม่ควรกินกับอะไร และสารอาหาร

ทุเรียนเป็น ผลไม้หน้าร้อน ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ให้พลังงานและ มีสารอาหารหลากหลาย ต่อไปนี้คือรายละเอียดของสารอาหาร ในทุเรียนต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 147 กิโลแคลอรี
  • ไขมันทั้งหมด 5.3 ก.
  • คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 27 ก.
  • ไฟเบอร์ 3.8 ก.
  • โปรตีน 1.5 ก.
  • วิตามินซี 19.7 มก.
  • วิตามินบี-6 0.3 มก.
  • โพแทสเซียม 436 มก.
  • แมกนีเซียม 30 มก.
  • เหล็ก 0.4 มก.
  • แคลเซียม 6 มก.
  • วิตามินเอ 2 มคก.
  • โซเดียม 2 มก.

ที่มา: Durian [3]

ทุเรียนไม่ควรกินกับอะไรข้อควรระวัง

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคทุเรียน ในปริมาณมาก เนื่องจากทุเรียนมีน้ำตาล และไขมันสูง
  • ควรบริโภคทุเรียนในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรรับประทานมากเกินไป ในคราวเดียว เพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่สบาย ที่อาจเกิดขึ้น
  • การรับประทานทุเรียน ในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด อาจทำให้ร่างกายร้อนเกินไป ควรเลือกบริโภคในช่วงเย็นหรือในสถานที่ ที่มีอากาศเย็นสบาย

ทุเรียนไม่ควรกินกับอะไรข้อแนะนำ

เลือกทุเรียนที่สุกพอดี การเลือกทุเรียนที่สุกพอดี จะช่วยให้ได้รับรสชาติที่ดีที่สุด และสารอาหารอย่างเต็มที่ ควรเลือกทุเรียนที่มีกลิ่นหอม เปลือกไม่แข็งเกินไป และมีเสียงก้องเมื่อเคาะเบาๆ ควรดื่มน้ำเปล่าหลังรับประทานทุเรียน จะช่วยในการย่อยอาหาร ปรับสมดุลของร่างกาย

สรุป ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร การทานอย่างถูกวิธี ปริมาณที่เหมาะ

ทุเรียน ไม่ควรกินกับอะไร

ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อร่อย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย หากบริโภคอย่างถูกวิธี และในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการรับประทานทุเรียน ร่วมกับอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท เป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

247