
ประโยชน์ของ เกาลัด เคล็ดลับกินให้สุขภาพดี
- OTP
- 27 views

ประโยชน์ของ เกาลัด มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักเกาลัดตั้งแต่ชื่อวิทยาศาสตร์ (Castanea spp.) ลักษณะทางกายภาพ ประวัติศาสตร์การเดินทางจากอาหารชาวบ้านสู่ของหวานในราชสำนัก พร้อมเจาะลึก 6 ประโยชน์เด่นที่สนับสนุนสุขภาพ และปิดท้ายด้วยเคล็ดลับเลือกเกาลัดคั่วให้ได้คุณค่าครบ และวิธีกินแบบไม่พังแผนไดเอท
- ทำความรู้จัก และลักษณะทางกายภาพ ของเกาลัด
- ประวัติเกาลัด จากอาหารชาวบ้าน สู่ของหวานในราชสำนัก
- ประโยชน์เด่น กินเกาลัดอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ทำความรู้จัก เกาลัด
- ชื่อ: เกาลัด
- ชื่อสามัญ (Common name): Chestnut
- ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Castanea spp. (ชนิดที่นิยมคือ Castanea sativa ในยุโรป, Castanea mollissima ในจีน, Castanea crenata ในญี่ปุ่น)
- วงศ์ (Family): Fagaceae (วงศ์เดียวกับโอ๊กและบีช)
- ถิ่นกำเนิด: พื้นที่เขตอบอุ่นของซีกโลกเหนือ — เอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) และยุโรปตอนใต้ รวมถึงบางพื้นที่ในอเมริกาเหนือ
ลักษณะทางกายภาพ ต้นเกาลัด
- เปลือกนอก (Burr/Husk): เปลือกมีหนามแข็ง สีเขียวถึงน้ำตาล เมื่อสุกจะแตกออกเห็นผลด้านใน
- เปลือกผล (Shell): เปลือกแข็งเรียบมัน สีน้ำตาลเข้มหรือแดง มีรอย “hilum” ด้านบน
- เนื้อใน (Kernel): เนื้อสีเหลืองครีม เนื้อแน่น รสหวานมันเมื่อสุก นุ่มคล้ายมันฝรั่ง
- ขนาดและน้ำหนัก: เส้นผ่านศูนย์กลาง 2–4 ซม. น้ำหนักเฉลี่ย 8–15 กรัมต่อเมล็ด
- กลิ่นและรสชาติ: ดิบมีกลิ่นอ่อน รสจืด แต่เมื่อคั่ว หรืออบจะหอมหวาน และมันมากขึ้น
ประวัติ เกาลัด จากอาหารชาวบ้านสู่ของหวานในราชสำนัก
เกาลัด (Chestnut) เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในจีน ญี่ปุ่น และยุโรป และมีบทบาทในวัฒนธรรมอาหารของคนธรรมดา ก่อนที่จะได้รับสถานะพิเศษในราชสำนักหรือเมนูของหวานวิจิตร ต่อไปนี้คือเหตุการณ์สำคัญ 3 ของเกาลัด
- การเพาะปลูกเกาลัดในญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคโจมอน มีหลักฐานทางโบราณคดีจากแหล่ง ซันไน มารุยามะ (Sannai Maruyama) ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ประเทศญี่ปุ่น พบว่าเมื่อประมาณ 5,500 ปีที่แล้ว มีการเพาะปลูกเกาลัดในระดับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เป็นอาหารฐาน (“staple food”) ของผู้คนในยุคโจมอน (สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน 2025) [1]
- เกิดขนม “Mont Blanc” ในฝรั่งเศสกลางศตวรรษที่ 19 ขนม Mont Blanc (marron purée + วิปครีม) ซึ่งใช้เนื้อเกาลัดเป็นส่วนประกอบหลัก เริ่มปรากฏในปารีสในช่วง กลางศตวรรษที่ 19
- ยุคเมจิของญี่ปุ่น (Meiji Era) การนำเข้าวัฒนธรรมตะวันตก ญี่ปุ่นใน ปี ค.ศ. 1868 เกิดการปฏิรูปใหญ่ คือยุคเมจิ (Meiji Restoration) ในช่วงนั้นญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศ นำเข้าแนวคิด ศิลปะ วัฒนธรรมและอาหารจากยุโรป รวมถึงวิธีทำขนมหวานแบบตะวันตก ซึ่งในนั้นมีการนำเกาลัดในรูปขนม
6 ประโยชน์เด่นของเกาลัด ที่คุณอาจยังไม่รู้
- เสริมพลังงาน: เกาลัดให้คาร์โบไฮเดรตสูงราว 45–50 กรัม/100 กรัม หรือกว่า 80–90% ของพลังงานทั้งหมด ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานได้นาน
- บำรุงสมอง: อุดมด้วยวิตามินบี โดยเฉพาะ B6 ให้ราว 25% ของความต้องการต่อวัน ช่วยการทำงานของสมองและระบบประสาท
- ดีต่อระบบย่อยอาหาร: มีใยอาหาร 5–8 กรัม/100 กรัม หรือราว 20–25% ของที่แนะนำต่อวัน ช่วยการเคลื่อนตัวของลำไส้และลดท้องผูก
- ช่วยลดคอเลสเตอรอล: ใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบและความเสี่ยงหลอดเลือดแข็งตัว พร้อมโพแทสเซียม 10–11% ช่วยควบคุมความดัน
- เสริมภูมิคุ้มกัน: วิตามิน C สูงราว 43 มก./100 กรัม หรือกว่า 70% ของความต้องการต่อวัน ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวและต้านอนุมูลอิสระ
- เหมาะกับคนคุมน้ำหนัก: ไขมันต่ำเพียง 1–2 กรัม/100 กรัม และใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนานและช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ที่มา: Chestnuts Nutrition Facts and Health Benefits (25 ธันวาคม 2022) [2]
เกาลัดกับการลดน้ำหนัก ทำไมสายเฮลท์ตี้ไม่ควรพลาด
เกาลัดเป็นของว่างที่หลายคนอาจมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วเหมาะมากสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า ทำให้อิ่มนาน ไม่หิวบ่อย คล้ายกับผลไม้อีกชนิดที่ช่วยคุมความอยากอาหารได้ดีอย่าง ประโยชน์ของ ลูกแพร์
เคล็ดลับกินเกาลัดไม่พังไดเอท
- เลือกแบบต้ม/อบแทนการทอดหรือน้ำตาลเคลือบ
- จำกัดปริมาณประมาณ 6–8 ลูกต่อครั้ง เพื่อไม่ให้เกินพลังงานที่ต้องการ
- กินเป็นของว่างเดี่ยว ๆไม่ควรจับคู่กับขนมหวานหรือเครื่องดื่มน้ำตาลสูง
- ใช้แทนขนมกรุบกรอบ เพื่อช่วยลดการกินของที่มีไขมันสูง
กินเกาลัดอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เกาลัดอร่อยและมีประโยชน์ แต่ถ้าอยากได้สารอาหารครบ ควรรู้วิธีกินให้ถูกต้อง
- เลือกเกาลัดคุณภาพ: เลือกเกาลัดที่เปลือกเรียบ ไม่มีรอยแตกหรือราขาว เมื่อเขย่าจะรู้สึกแน่น ไม่หลวม แสดงว่ายังสด
- เก็บรักษาให้คงความสด: เกาลัดดิบควรเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา ไม่เกิน 2 สัปดาห์ หากต้องการเก็บนานให้แช่ช่องแข็งและนำมาละลายก่อนใช้
- คั่วหรืออบให้ถูกวิธี: ก่อนคั่วให้กรีดเปลือกเล็กน้อย ป้องกันการระเบิด และช่วยให้สุกทั่วถึง การอบในเตาไฟกลางประมาณ 20–25 นาทีจะช่วยรักษาวิตามิน C และรสชาติได้ดีกว่าการต้ม
- ข้อควรระวัง: อย่ากินมากเกินไป เพราะคาร์โบไฮเดรตสูง อาจทำให้พลังงานเกินโดยไม่รู้ตัว และควรระวังเกาลัดที่เคลือบน้ำตาลหรือใส่สารปรุงรส
ที่มา: Storing Chestnuts: How to Store the Proper Way (5 พฤศจิกายน 2022) [3]
โดยสรุป ประโยชน์ของ เกาลัด ผลไม้ที่มีประวัติยาวนาน
สรุปแล้ว ประโยชน์ของ เกาลัด ไม่ใช่แค่ของว่างในหน้าหนาว แต่เป็นผลไม้ที่มีประวัติยาวนานและคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไขมันต่ำ ใยอาหารสูง วิตามิน C และวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง หัวใจ และระบบย่อยอาหาร หากเลือกเกาลัดคุณภาพดี เก็บและคั่วให้ถูกวิธี จะได้ทั้งรสชาติและสารอาหารครบ และถ้ากินในปริมาณพอดี เกาลัดยังเป็นตัวช่วยที่ดีในช่วงลดน้ำหนัก
คนที่แพ้ถั่วสามารถกินเกาลัดได้ไหม?
โดยทั่วไป เกาลัดอยู่คนละกลุ่มกับ ถั่วเปลือกแข็งหลายชนิด (เช่น อัลมอนด์ วอลนัท) และมีโปรตีนก่อภูมิแพ้น้อยกว่า แต่ผู้ที่แพ้ถั่วรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนชิม เพื่อความปลอดภัย
เกาลัดควรกินวันละเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะสม?
แนะนำประมาณ 6–8 ลูก (ราว 80–100 กรัม) ต่อวัน ให้พลังงานประมาณ 160–200 kcal กำลังดีสำหรับเป็นของว่าง หากกินมากเกินไปอาจทำให้พลังงานเกิน และน้ำหนักขึ้นได้
- Tags: ผลไม้

แหล่งอ้างอิง


