ผลเสียวิตามินE ที่อันตราย และด้านประโยชน์

ผลเสียวิตามินE

ผลเสียวิตามินE วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินอีมากเกินไป สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ได้รับจากการเสริมวิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ไม่ใช่จากอาหารธรรมชาติ

ผลเสียวิตามินE วิตามินอี วิตามินละลายในไขมันคืออะไร

วิตามินอีเป็นวิตามิน ที่ละลายในไขมัน และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกาย จากความเสียหาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ โดยวิตามินอี สามารถพบได้ในอาหารธรรมชาติ ร่างกายต้องการวิตามินอี เพื่อช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ เช่นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท และระบบหัวใจและหลอดเลือด

ผลเสียวิตามินE ผลเสียการได้รับวิตามินอีมากเกินไป

  • เพิ่มความเสี่ยงในการตกเลือด วิตามินอีในปริมาณที่สูง สามารถรบกวนการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่มีปัญหา เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
  • การได้รับวิตามินอีมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการฟกช้ำง่าย เลือดออกตามเหงือก หรือเลือดออกในอวัยวะภายใน ที่ไม่สามารถเห็นได้จากภายนอก
  • ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด แม้ว่าวิตามินอีจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ในบางกรณี แต่การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลต่อระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ชนิดเลือดออก ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต่อชีวิตได้
  • เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มีการศึกษาแสดงว่าการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูง อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย นี่คือเหตุผลที่ควรระมัดระวัง ในการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีวิตามินอีในปริมาณมาก
  • อาการทางระบบประสาท และกล้ามเนื้อ การได้รับวิตามินอีเกิน อาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท และกล้ามเนื้อ เช่นอาการอ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาการเบลอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงาน ของระบบประสาทในระยะยาว

ที่มา: Is Taking Too Much Vitamin E Bad for You? [1]

ผลเสียวิตามินE ปริมาณวิตามินอีแนะนำต่อวัน

ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อ มีดังนี้

  • ผู้ใหญ่: 15 มิลลิกรัม 22.4 IU International Units
  • เด็กอายุ 1-3 ปี: 6 มิลลิกรัม 9 IU International Units
  • เด็กอายุ 4-8 ปี: 7 มิลลิกรัมหรือ 10.4 IU
  • เด็ก อายุ 9-13 ปี: 11 มิลลิกรัมหรือ 16.4 IU

ปริมาณนี้เป็นปริมาณที่แนะนำ สำหรับการบริโภคในแต่ละวัน เพื่อการทำงานที่เหมาะสมของร่างกาย [2]

 

ผลเสียวิตามินE และอาหารที่มีปริมาณวิตามินอีสูง

ผลเสียวิตามินE
  • อัลมอนด์: 1 ออนซ์ (ประมาณ 28 กรัม) วิตามินอีประมาณ 7.3 มิลลิกรัม
  • Hazelnut: 1 ออนซ์มีวิตามิน E ประมาณ 4.3 mg.
  • เมล็ดทานตะวัน: 1 ออนซ์มีวิตามิน E ประมาณ 7.4 mg.
  • Avocado: 1 ผล มีวิตามินอีประมาณ 2.7 mg.
  • ผักปวยเล้ง: 1 ถ้วย มีวิตามินอีประมาณ 6.9 milligram
  • น้ำมันปาล์ม: 1 ช้อนโต๊ะ มีวิตามินอี ประมาณ 2.2 milligram
  • มันหวาน: 1 ช้อนโต๊ะ มีวิตามินอี ประมาณ 4.2 milligram

ที่มา: 10 อาหารสุขภาพที่มีวิตามิน E สูง [2]

 

ผลเสียวิตามินE ใครไม่ควรทานวิตามินอีเสริม

การทานวิตามินอีเสริมอาจไม่เหมาะสม สำหรับบางกลุ่มบุคคล เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ หากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่อง กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์ก่อนทานวิตามินอีเสริม ได้แก่

  • ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด วิตามินอีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออกเช่นเดียวกับ ผลเสียวิตามินK โดยเฉพาะในผู้ที่กำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Warfarin หรือแอสไพริน เนื่องจากวิตามินอี สามารถรบกวนการทำงานของวิตามิน K ซึ่งช่วยในการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด การทานวิตามินอีในปริมาณสูง อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเลือดออกในระหว่างหรือหลังการผ่าตัด จึงควรหยุดทาน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
  • ผู้ที่มีโรคเลือดออกผิดปกติ บุคคลที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือด เช่นภาวะเลือดออกผิดปกติ (hemophilia) ควรหลีกเลี่ยงวิตามินอีเสริม เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการมีเลือดออก
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้วิตามินอี หรือส่วนประกอบ ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หากเคยมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนประกอบของวิตามินอี หรืออาหารเสริม ควรหลีกเลี่ยงการทานวิตามินอีเสริม เพื่อป้องกันปฏิกิริยาการแพ้
  • สตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร การทานวิตามินอีในปริมาณมากเกินไป ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร อาจไม่ปลอดภัย จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานวิตามินอีเสริม

ผลเสียวิตามินE และในด้านประโยชน์ของวิตามินอี

  • ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ วิตามินอีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสี่ยง ของความเสียหายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ และเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่นมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์
  • ส่งเสริมการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินอีช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรค และการติดเชื้อต่างๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ วิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยบำรุง และปกป้องผิวพรรณ จากความแห้งกร้าน รวมถึงช่วยลดการอักเสบ และส่งเสริมการซ่อมแซมผิว จากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด นอกจากนี้ ยังช่วยลดรอยแผลเป็น และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิว
  • บำรุงสายตา วิตามินอีมีส่วนช่วยในการปกป้องดวงตา จากความเสื่อมสภาพ และโรคที่เกิดจากอายุ เช่นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ของการสูญเสียการมองเห็น ในผู้สูงอายุ
  • ป้องกันโรคหัวใจ เนื่องจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอีสามารถช่วยลดการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  • ส่งเสริมสุขภาพสมอง วิตามินอีมีบทบาทในการช่วยปกป้องเซลล์สมอง จากความเสียหาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคทางสมอง ที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อม เช่นอัลไซเมอร์

ที่มา:ประโยชน์ของวิตามินอี [3]

สรุป ผลเสียวิตามินE เมื่อได้รับมาก ควรทานจากธรรมชาติ

วิตามินอีมีความสำคัญต่อสุขภาพ เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม แต่การได้รับวิตามินอีมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ ควรรับประทานวิตามินอีจากแหล่งธรรมชาติ เช่นผักใบเขียว ถั่ว และน้ำมันพืช และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีวิตามินอีในปริมาณสูง โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

158