จัดอันดับ พืชอะไรที่มี Capsaicin สูง

พืชอะไรที่มี Capsaicin สูง

พืชอะไรที่มี Capsaicin สูง เป็นคำถามที่หลายคนอาจนึกถึงความเผ็ดในเมนูอาหาร ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ หรืออาหารเผ็ดจัดจ้านแบบไทย แต่ความเผ็ดไม่ได้มาจากรสชาติ แบบหวาน เปรี้ยว หรือเค็ม แต่เกิดจากสารธรรมชาติที่ชื่อว่าแคปไซซิน ซึ่งพบในพืชบางชนิด โดยเฉพาะในตระกูลพริก

  • แคปไซซิน คืออะไร?
  • ประโยชน์ของแคปไซซิน
  • พืชอะไรที่มี Capsaicin สูง

สารประกอบ แคปไซซิน คืออะไร?

แคปไซซินคือสารประกอบตามธรรมชาติ ที่พบในพืชตระกูลพริก โดยเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเผ็ดร้อน เมื่อรับประทาน หรือสัมผัสผิวหนัง สารนี้ทำงานโดย กระตุ้นปลายประสาท รับความร้อน และความเจ็บปวด ทำให้สมองตีความว่าร้อน แม้ในความเป็นจริง จะไม่มีอุณหภูมิสูงเกิดขึ้นเลย

จึงเป็นเหตุผล ที่เรารู้สึกเผ็ด แบบแสบร้อน เมื่อกินพริกหรืออาหารเผ็ดๆ ในทางชีววิทยา แคปไซซินจัดอยู่ในกลุ่มสาร vanilloid และสามารถจับกับตัวรับความเจ็บปวดที่ชื่อ TRPV1 ซึ่งอยู่บนเส้นประสาท รับความรู้สึก เมื่อถูกกระตุ้นซ้ำๆ ตัวรับนี้จะค่อยๆ ลดการตอบสนอง ทำให้เกิดผลคล้ายการชาตรงบริเวณนั้น

นี่คือเหตุผลที่แคปไซซิน ถูกนำไปใช้ในยาทาแก้ปวดเฉพาะที่ เพื่อลดอาการปวด จากโรคข้อเสื่อม เส้นประสาทอักเสบ หรืออาการปวดเรื้อรังบางชนิด นอกจากบทบาทในอาหารแล้ว จึงมีการประยุกต์ ใช้สารแคปไซซิน ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวางอีกด้วย (23 พฤษภาคม 2023) [1]

ประวัติ แคปไซซิน การค้นพบครั้งแรก

แคปไซซินถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1816 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน Christian Friedrich Bucholz ซึ่งสามารถสกัดสารรสเผ็ด ออกจากพริกแห้งได้ แม้ในเวลานั้น จะยังไม่รู้โครงสร้างที่แท้จริง แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้วงการเคมี เริ่มสนใจสารออกฤทธิ์ ในพืชตระกูลพริก

ต่อมาในช่วงปี 1846–1847 นักเคมีอย่าง Theodor Wertheim ได้ตั้งชื่อสารนี้ว่า capsaicin อย่างเป็นทางการ และเป็นช่วงที่เริ่มมีการศึกษา คุณสมบัติด้านรสเผ็ด ความระคายเคือง และบทบาททางชีววิทยาของมันมากขึ้น ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงที่มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน

โดย John Clough Thresh ในปี 1876–1877 สามารถแยกแคปไซซินได้บริสุทธิ์ ใกล้เคียงกว่าที่เคย และในปี 1919 นักวิจัยอย่าง E. K. Nelson เริ่มถอดรหัสโครงสร้างทางเคมีของสารนี้ อย่างมีระบบ จนในปี 1930 จึงสามารถสังเคราะห์แคปไซซินได้สำเร็จในห้องปฏิบัติการ และถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ (30 กันยายน 2025) [2]

ประโยชน์ของแคปไซซินคืออะไร?

  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และอุณหภูมิร่างกาย ความเผ็ดกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้รู้สึกอบอุ่น และเผาผลาญพลังงาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  • ช่วยลดอาการปวดบางชนิด ใช้ในรูปแบบยาทาเพื่อลดอาการปวดข้อ และเส้นประสาทอักเสบ โดยทำให้ปลายประสาทชาชั่วคราว
  • ช่วยยับยั้งจุลชีพ และยืดอายุอาหาร มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และชะลอการเหม็นหืน จึงถูกนำไปใช้ในอาหาร และบรรจุภัณฑ์
  • อาจช่วยควบคุมน้ำหนัก เพิ่มการใช้พลังงานเล็กน้อย และทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นในบางคน
  • มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ จากความเครียดออกซิเดชัน

พืชอะไรบ้างที่มีแคปไซซินสูง?

พืชอะไรที่มี Capsaicin สูง

พืชที่มีแคปไซซินสูง โดยเรียงตามระดับความเผ็ด มีดังนี้

  • Carolina Reaper ระดับความเผ็ด 1,400,000 – 2,200,000 SHU เป็นพริกที่เคยถูกบันทึก ว่ามีความเผ็ดสูงที่สุดในโลก กลิ่นหอมผลไม้นิดๆ แต่ความเผ็ดมาก ถึงขั้นแสบลิ้นน้ำตาไหล มักใช้ในรูปแบบซอสเผ็ด หรือผงปรุง ไม่ค่อยใช้กินสดโดยตรง
  • Trinidad Moruga Scorpion ระดับความเผ็ด 1,200,000 – 2,000,000 SHU เผ็ดลึกแบบสะสมขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเคี้ยวยิ่งเผ็ดใช้แต่น้อยมากในอาหาร หรือทำซอสสกัดแคปไซซิน
  • Ghost Pepper หรือ พริกปีศาจ ระดับความเผ็ด 800,000 – 1,500,000 SHU เป็นพริกชื่อดังที่อินเดีย เคยใช้ในลูกกระสุนแก๊สน้ำตา เพราะเผ็ดจนระคายเคือง ใช้ในอาหารที่เผ็ดมาก หรือดองน้ำส้ม
  • Habanero ระดับความเผ็ดประมาณ 100,000 – 350,000 Scoville เผ็ดแบบรู้สึกเร็ว มีกลิ่นหอมผลไม้เฉพาะตัวมาก นิยมใช้ในซอสเม็กซิกันและ Caribbean
  • พริกขี้หนูไทย ระดับความเผ็ดประมาณ 50,000 – 100,000 Scoville เผ็ดจัดแบบชัดเจน ความเผ็ดพุ่งทันที เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย เช่นน้ำพริก ส้มตำ ต้มยำ
  • Cayenne Pepper ระดับความเผ็ดประมาณ 30,000 – 50,000 Scoville เผ็ดกลางถึงจัด นิยมบดเป็นผง โรยบนอาหาร หรือใช้ทำซอสเผ็ด
  • Tabasco Pepper ระดับความเผ็ดอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 สโควิลล์ เป็นพริกที่นำไปหมักทำซอส Tabasco รสเปรี้ยว และเผ็ดแบบสดชื่น
  • Jalapeño ระดับความเผ็ดอยู่ที่ประมาณ 2,500 – 8,000 สโควิลล์ เผ็ดอ่อนกว่า แต่ให้กลิ่นสดฉ่ำ กรอบ นิยมย่าง โรยพิซซ่า หรือใส่ทาโก้
  • Bell Pepper ไม่มีแคปไซซินเลย แม้จะอยู่ตระกูลเดียวกันกับพริก จึงได้เพียงสี กลิ่น และความหวานแบบผัก

บทบาทแคปไซซิน ในการยืดอายุอาหาร

แคปไซซินมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลชีพได้ โดยมีผลต่อโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย และเชื้อราที่ทำให้อาหารเน่าเสีย เมื่อโครงสร้างเหล่านี้ถูกรบกวน เชื้อจึงไม่สามารถแบ่งตัว หรือดำรงชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลให้ปริมาณจุลชีพลดลง และช่วยชะลอการเกิดการเน่าเสียของอาหารได้

อีกทั้งแคปไซซิน ยังลดการสร้างเอนไซม์บางชนิด ที่จุลชีพจำเป็นต้องใช้ ทำให้เกิดผลในการยืดอายุอาหาร โดยไม่ต้องพึ่งสารกันเสียสังเคราะห์มากเท่าที่เคย นอกจากนี้ แคปไซซินยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยลดการเกิดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันเหม็นหืน สีซีด และกลิ่นลดลงในอาหาร

การชะลอกระบวนการออกซิเดชันนี้ ช่วยรักษาคุณภาพทางรสชาติ กลิ่น สี และคุณค่าทางโภชนาการของอาหารได้นานขึ้น ทำให้แคปไซซิน ถูกนำไปใช้ทั้งในรูปแบบผสมลงในอาหารโดยตรง และในบรรจุภัณฑ์หรือฟิล์มเคลือบอาหาร เพื่อช่วยยืดอายุ การเก็บรักษาอาหาร อย่างเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยมากขึ้น (พฤษภาคม 2025) [3]

ข้อเสียของแคปไซซินคืออะไร?

  • ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน หรือระบบทางเดินอาหารอักเสบ
  • อาจเกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง หรือแสบร้อน หากสัมผัสตรงๆ บางคนอาจรู้สึกแสบร้อนนานกว่าปกติ หรือเป็นผื่นได้
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีริดสีดวงทวาร หรือแผลในปาก แผลในลำไส้ เพราะอาจทำให้แสบร้อน หรืออักเสบมากขึ้น
  • หากได้รับในปริมาณมาก อาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก หรือหน้ามืด เนื่องจากกระตุ้นระบบประสาท และการไหลเวียนเลือด
  • เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเผ็ดมากๆ

สรุปแล้ว พืชอะไรที่มีแคปไซซินสูง

พืชที่มีแคปไซซินสูง ส่วนใหญ่จะอยู่ในตระกูลพริก ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีระดับความเผ็ดแตกต่างกัน โดยพริกที่เผ็ดมากที่สุดในโลกในปัจจุบันได้แก่ Carolina Reaper, Trinidad Moruga Scorpion, Ghost Pepper ซึ่งให้ความเผ็ดร้อนระดับสูงมาก รองลงมาคือพริก ที่ใช้ทั่วไปเช่น Habanero, พริกขี้หนูไทย, Cayenne Pepper, Tabasco Pepper, และ Jalapeño

ได้รับแคปไซซินเท่าไหร่ถึงเป็นอันตราย?

โดยทั่วไป แคปไซซินในปริมาณที่พบในอาหารปกติ ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ปริมาณที่อาจเป็นอันตราย อยู่ที่ประมาณ 100–300 มิลลิกรัม ของแคปไซซินบริสุทธิ์ต่อวัน สำหรับคนทั่วไป และมีการประมาณว่า ปริมาณที่อาจถึงระดับเป็นพิษ หรือเสี่ยงต่อชีวิต จะอยู่ที่ราว 5–10 กรัมของแคปไซซินบริสุทธิ์ในครั้งเดียว ขึ้นกับน้ำหนักตัวด้วย

ใครที่ควรระวังแคปไซซินเป็นพิเศษ?

ผู้ที่ควรระวังคือ ผู้ป่วยโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะหรือลำไส้ เพราะแคปไซซินจะกระตุ้นกรดและเยื่อบุให้แสบร้อนง่ายขึ้น ผู้ที่มีปัญหาถุงน้ำดี ตับอ่อน หรือริดสีดวงทวาร เพราะอาจกระตุ้นอาการเจ็บแสบ รวมถึง ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ควรลดปริมาณ นอกจากนี้ ผู้ที่กำลังใช้ยาลดปวดชนิด NSAIDs หรือยาลดกรดก็ควรระวัง

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง