สไตล์การต่อเล็บ มีกี่แบบ ต่อเล็บแบบไหน เข้ากับ ไลฟ์สไตล์คุณ

สไตล์การต่อเล็บ

สไตล์การต่อเล็บ ในปัจจุบัน การต่อเล็บก็เป็นที่นิยม ไม่น้อยไปกว่า การเสริมความงามประเภทอื่นๆ เพราะ บางคนนั้นอาจมีเล็บที่ไม่สวย การต่อเล็บนั้น สามารถช่วยเสริม ให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นเรามาดูกันว่า การต่อเล็บมีกี่สไตล์ และสิ่งที่ควรรู้ไว้ ต่อเล็บแบบใดจะตรงใจคุณที่สุด

สไตล์การต่อเล็บ แบบง่าย สามารถทำเองได้

สไตล์การต่อเล็บ แบบง่ายๆ ทำเองได้ไม่ยากนั้น จะมีอยู่ 2 แบบ คือการต่อเล็บ แบบสำเร็จ และการต่อแบบ PVC ทั้งสองแบบนี้จะมี ข้อเสีย อย่างไรบ้างนั้น เราจะมาบอกรายละเอียดเบื้องต้น ที่ควรรู้

การต่อเล็บ แบบสำเร็จรูป

สไตล์การต่อเล็บ

สไตล์นี้ เป็นการต่อเล็บแบบง่ายที่สุด เป็นการต่อแบบชั่วคราว เล็บที่ต่อนั้นจะถูกเพ้นท์ หรือทาสีมาเรียบร้อยแล้ว สามารถทำเองได้เลย ไม่ต้องเข้าร้าน ใช้เพียงแค่กาวติดเล็บ ใช้เวลาในการทำไม่นาน ได้ลวดลายตามที่ต้องการ และราคาไม่แพงจนเกินไป

ข้อเสีย ของการต่อเล็บ แบบสำเร็จ คือบางครั้งขนาดเล็บอาจ ไม่เท่ากับขนาดเล็บจริง เมื่อตะไบตัดแต่งทรงเล็บแล้ว อาจจะทำให้ลายเพ้นท์เสียหายไปด้วย อายุการใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าโดนน้ำมากน้อยแค่ไหน โดยปกติแบบสำเร็จ และ PVC จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ [1]

การต่อเล็บ แบบ PVC

สไตล์การต่อเล็บ

การ ต่อเล็บแบบ PVC สไตล์การต่อแบบนี้ ค่อนข้างง่าย โดยเป็นการต่อด้วย พลาสติกพีวีซีที่ขึ้นรูปแล้ว มีความโค้งเข้ากับเล็บจริง ด้วยการวัดขนาดของเล็บให้เหมาะสม แล้วติดลงบนเล็บจริง ด้วยกาวติดเล็บ เมื่อแห้งแล้วก็ตะไบจัดแต่งทรง และทาสีเล็บเพ้นท์ลวดลายได้ตามต้องการ ใช้เวลาในการทำไม่นาน และราคาก็ไม่สูงจนเกินไป

ข้อเสีย ของการต่อเล็บ แบบ PVC คือ ถ้าต่อเล็บไม่แนบสนิทกับเล็บจริง อาจมีโอกาสเป็นเชื้อรา ซึ่งจะพบได้บ่อยมาก อาจหลุดง่ายถ้ากาวที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน และการนำเล็บออกที่ผิดวิธี จะทำให้ผิวหน้าเล็บได้รับความเสียหาย

สไตล์การต่อเล็บ แบบเป็นที่นิยม ทำเองไม่ได้ ต้องใช้ช่าง

สไตล์การต่อเล็บ

สไตล์การต่อเล็บ แบบนี้ ค่อนข้างทำเองได้ยาก จะต้องใช้ช่างผู้ชำนาญทำให้ คือ การต่อเล็บแบบอะคริลิค และ การต่อเล็บ แบบโพลีเจล ทั้ง 2 สไตล์นี้เป็นที่นิยม ค่อนข้างมาก และมีราคาค่อนข้างสูงมากกว่าการต่อแบบสำเร็จ และแบบพีวีซี

การต่อเล็บ แบบอะคริลิค

การต่อแบบอะคริลิค เป็นการต่อเล็บโดยนำผงพอลิเมอร์ กับน้ำยาโมโนเมอร์มาผสมกัน จนกลายเป็นเจล อันดับแรกต้องลงน้ำยาฆ่าเชื้อ บนหน้าเล็บเพื่อป้องกันเชื้อราก่อน นำอะคริลิคมาปั้นลงบนเล็บ เป็นรูปทรงตามที่เราต้องการ เมื่อแห้งแล้วเล็บอะคริลิคจะแนบแน่นเนียนไปกับเล็บจริง

เคลือบ Top Gel ป้องกันรอยขีดข่วน ตะไบแต่งทรง ทาหรือเพ้นท์สีตามต้องการ อายุการใช้งานอยู่ได้ประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือน สามารถเติมโคนเล็บได้โดยไม่ต้องถอดเล็บออก

ข้อเสีย ของการต่อเล็บ แบบอะคริลิค คือ มีกลิ่นที่ค่อนข้างฉุน หากช่างไม่ชำนาญหรือ ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดเชื้อราได้ และการถอดออกที่ผิดวิธีอาจทำลายหน้าเล็บให้เสียหายได้ [2]

การต่อเล็บ แบบโพลีเจล

การต่อเล็บ แบบโพลีเจลเป็น การต่อเล็บแบบที่นิยมมากที่สุด โดยพัฒนามากจากการต่อเล็บแบบอะคริลิค เป็นเล็บที่คิดค้นขึ้นมาโดยการนำเอาเจลแข็ง และอะคริลิค มารวมไว้ด้วยกันในหลอดเดียว ไม่มีกลิ่นฉุน สามารถขึ้นรูปได้ตามต้องการ และจะแข็งตัวต่อเมื่อนำไปอบด้วยแสง LED เท่านั้น

  • ราคาจะแพงกว่าแบบอื่นๆ เริ่มต้นที่ 1500-2000 บาท

ข้อดีของการต่อเล็บแบบโพลีเจล

  • กลิ่นไม่ฉุน
  • เล็บดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
  • โพลีเจลมีน้ำหนักเบากว่า การต่ออะคริลิค 23% และเบากว่าการต่อเล็บแบบเจลแข็ง16%
  • สามารถเติมโคนเล็บได้เลย โดยไม่ต้องถอดเล็บเจลออกก่อน ไม่ต้องตะไบหน้าเล็บออก หน้าเล็บก็จะไม่ต้องเสีย

ข้อเสียของการต่อเล็บแบบโพลีเจล

  • การต่อแบบโพลีเจลจะยึดติดกับเล็บจริงมาก หากถูกกระแทกหรือฉีก อาจจะทำให้เล็บจริงบาดเจ็บไปด้วย
  • เนื้อโพลีเจลค่อนข้างเหลว จึงขึ้นรูปเล็บยาก หากช่างไม่ชำนาญอาจทำให้ รูปทรงเล็บไม่ได้มาตรฐาน
  • เวลาถอดเล็บค่อนข้างยากกว่าแบบอื่นๆ การถอดเล็บควรทำ โดยช่างทำเล็บเท่านั้น
  • ต้องใช้น้ำยาล้างเล็บที่มีส่วนผสมของอะซีโตน (Acitone) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง หรือผื่นแพ้สัมผัสได้

ที่มา: ต่อเล็บโพลีเจล (Poly gel) การต่อเล็บที่รวมข้อดีของการต่อเล็บแบบอะคริลิก และฮาร์ดเจลไว้ด้วยกัน [3]

สรุป สไตล์การต่อเล็บ แบบไหน ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณ

สรุป การต่อเล็บ มีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบ ก็มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป จนบางคนนั้นอาจจะคิดว่าแบบไหน จะเข้ากับตัวเองมากที่สุด ในบทความนี้ ก็จะเป็นความรู้เบื้องต้นคร่าวๆ สำหรับ สไตล์การต่อเล็บ หวังว่าจะค้นพบ สไตล์ที่เป็นตัวคุณ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of OTP
OTP

แหล่งอ้างอิง

342