เจียงซือ เชื่อได้เลยว่า จะต้องมีผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน คุ้นหน้าคุ้นตากับผีดิบตนนี้ ตามภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ ที่มันชอบกระโดด และทำมือไปข้างหน้า แถมยังมีผ้ายันต์แปะเอาไว้ตรงหน้าฝาก ในวันนี้ เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จัก ผีดิบจีนตนนี้ ให้มากขึ้นกว่าเดิม
ผีดิบจีน เจียงซือ [1] มีที่มาจากประเทศจีน โดยเชื่อว่าเป็นผีที่นอนตายตาไม่หลับ หน้าขาวซีด ฟันยาว เล็บแหลม ส่วนใหญ่มักจะกลัวแสงแดด มันจะอาศัยอยู่แต่ในโลงศพ หรือในถ้ำที่แสงแดดเข้าไปไม่ถึง มันจะออกมาทำร้าย หรือดูดเลือดของผู้คนในช่วงเวลากลางคืน
ซึ่งคล้ายกับผีศาจในตำนาน อย่าง แวมไพร์ ที่จะออกดูดเลือดสัตว์ และเลือดของมนุษย์เช่นกัน เล่ากันว่า ผีดิบตนนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ใช้การดมกลิ่น หรือจับจังหวะการหายใจจากเหยื่อ เราจะมองเห็นในภาพยนตร์ ที่มนุษย์ต้องกลั้นหายใจ จึงจะทำให้ผีดิบมองไม่เห็น
แต่ก็มีข้อสันนิษฐานว่าผีดิบจีน เจียงซือ มีที่มาจากตำนานศพคืนชีพ ในช่วงสมัยราชวงศ์ชิง โดยเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ ของผู้ที่นับถือลัทธิเต๋า ในยุคที่ประชาชนออกไปหางานทำต่างเมือง โดยเฉพาะในเมืองเซียงซี หากมีการเสียชีวิต จะต้องนำศพมาประกอบพิธีกรรม และทำการฝังที่บ้านเกิด
ซึ่งก็เป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ในช่วงเวลานั้น รูปแบบของการขนส่งยังงไม่มีการพัฒนา จึงเป็นการแบกศพ โดยใช้นักบวช หรือนักพรตไปทำพิธี เพื่อนำศพกลับมายังบ้านเกิดของเขา
ผีดิบจีนตนนี้ มีชื่อที่แปลว่า ศพแข็ง ที่มาในรูปแบบผีดิบสวมชุดขุนนาง ในสมัยราชวงศ์ชิง แต่มีข้อสันนิษฐานว่า ผีดิบตนนี้ เกิดขึ้นมานานหลายพันปี แต่เพิ่งมีการปรากฏหลักฐาน ที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ในสมัยราชวงศ์ชิง โดยที่มีเหตุผลหลักในการเกิดผีดิบตนนี้ ได้แก่
มีความเชื่อว่า หยิน เป็นพลังงานด้านมืด หรือธาตุเย็น ที่เป็นตัวแทนของเหล่าภูตผีปีศาจ ส่วนหยาง จะเป็นพลังแห่งแสงสว่าง มีความเป็นมงคล ซึ่งเป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ซึ่งหลังจากศพได้รับพลังงานจากหยิน จะทำให้กายเนื้อสีขาวซีด ตาแดง กลัวแสงอาทิตย์เป็นพิเศษ
ซึ่งพิธีนี้ จะจัดท่าทางของศพในท่ายืน และทำการสอดไม้ไผ่สองลำ สอดเข้าไปที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้าง และวางแขนของศพไว้เหนือไม้ไผ่ แล้วทำการผูกแขนติดกับไม้ไผ่ จะใช้คนแบกที่บริเวณหัว และท้าย แต่ในยุคสมัยนั้น เสื้อผ้าศพมีขนาดใหญ่ จึงทำให้ดูเหมือนว่าศพกำลังกระโดด
และพิธีนี้ยังมีอีกชื่อในการเรียกว่า พิธีขนศพในเซียงซี หรือ พิธีขนศพหมื่นลี้ ส่วนใหญ่มักจะทำพิธีในช่วงเวลากลางคืน และมีนักบวชคอยสั่นกระดิ่งนำทาง เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้กับชาวบ้านแถวนั้น ไม่ให้ออกมาดูพิธีกรรมนี้ เนื่องจากเป็นสิ่งอัปมงคล
ซึ่งคนจีนในยุคสมัยนั้น จะใช้วิธีการปราบปีศาจตนนี้ ด้วยการใช้ข้าวเหนียวดำ ซึ่งมีความเชื่อว่า จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการปราชผีดิบตนนี้ ข้าวเหนียวยังสามารถรักษาพิษของศพได้ ส่วนกระเทียมทำได้เพียงแค่ขับไล่ แต่ไม่สามารถทำอันตรายต่อผีดิบตนนี้ได้
ในภาคใต้ของประเทศจีน ยังมีอีกหนึ่งวิธีการปราบ เจียงซือ เช่น หากมีคนในครอบครัวเสียชีวิต คนในครอบครัว หรือญาติ จะต้องนำกระเทียมมาโรยรอบเตียงผู้ตาย โรยทั้งหมดสี่ด้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากศพ และนำข้าวเหนียวมาโรยไว้ที่หน้าประตูบ้าน
ความเชื่อของคนจีนในภาคเหนือ ก็มีพิธีกรรมคล้าย ๆ กับภาคใต้ แต่จะใช้ขี้เถ้า และปูน แทนการใช้ข้าวเหนียวนั่นเอง ซึ่งในสมัยนั้น การนำข้าวเหนียวมาใช้ เพื่อทำให้หลุมศพนั้นแข็งแรงมั่นคง คนในสมัยนี้จึงคิดว่าข้าวเหนียวนั้นเอาไว้ป้องกันศพฟื้นคืนชีพ
แต่ในปัจจุบัน วัฒนธรรมเกี่ยวกับภูตผีของคนจีน ส่วนใหญ่จะถูกปรุงแต่งด้วยความเชื่อ และศาสนา ถึงแม้ในปัจจุบัน จะมีข้อสันนิษฐาน หรือข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เข้ามารองรับ แต่ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ หรือผี ก็ยังถูกปลูกฝัง และหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์
หลายท่านอาจเข้าใจว่า เจียงซือ และผีกองกอยนั้นเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริง ปีศาจหรือผีทั้งสองตนนี้ เป็นคนละประเภท โดยผีกองกอยเป็นความเชื่อของคนไทย มีลักษณะเป็นผีป่า ซึ่งจะปรากฏตัวตามป่าเขาต่าง ๆ ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งมีขาเพียงข้างเดียว มีปากเป็นท่อคล้ายแมลงวัน เคลื่อนที่ด้วยการกระโดด
ซึ่งจะออกมาดูดเลือดจากนิ้วเท้ามนุษย์ และจะหลอกคนที่นอนค้างในป่า ซึ่งวิธีการปกป้องจากผีตนนี้ เพียงแค่นั่งไขว้ขา หรือเอาเท้าทั้งสองมาชิดติดกัน ห้ามนอนเอาขา หรือเท้าออกมานอกเต้นท์ ซึ่งแตกต่างจากผีดิบอย่างสิ้นเชิง
ที่มา : เจียงซือ vs ผีกองกอย [2]
ซึ่งในปัจจุบัน ก็ได้มีการปรากฏตัวของปีศาจร้ายตนนี้ ตามหน้าจอภาพยนตร์ดังมากมาย ได้แก่เรื่อง ผีกัดอย่ากัดตอบ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชื่อดังจากประเทศฮ่องกง ซึ่งมีทั้งหมด 5 ภาค นอกจากจะมีความสยองขวัญจากผีดิบแล้ว ยังมีความคอมเมดี้ที่ตลก ทำให้ผู้ชมหัวเราะ และกลัวไปไปพร้อมกัน