Bearbrick ขึ้นชื่อว่าเป็นของเล่น แต่เป็นของเล่นที่เอาไว้เก็บสะสม แถมยังมีราคาแพงมาก แต่ถึงจะแพงแค่ไหน ก็ได้รับความนิยมในวงกว้างเลยล่ะ ด้วยความพิเศษ หรือความเป็นเอกลักษณ์ของน้องหลายๆ อย่าง
ที่ส่วนหัวจะเป็นหมี ช่วงลำตัวเป็นเลโก้ (แอบมีพุงป่องๆ) อีกทั้งแขนขายังขยับได้ ลวดลายบนตัวก็ไม่เคยจะซ้ำกัน น้องจึงกลายเป็นของเล่นที่นักสะสมทั่วโลก ต่างต้องการจะเป็นเจ้าของ
“หมีแบร์บริค” [1] ตัวแรกเลยที่ถูกออกแบบมาโดย Tatsuhiko Akashi ทำขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญที่ระลึก ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยน้องตัวแรกนี้ เป็นแค่ฟิกเกอร์พลาสติกสีพื้น แต่ไม่น่าเชื่อว่า แค่ของที่ทำแจกแขกในงานนั้น จะได้รับความนิยม จนเป็นกระแสร้อนแรงมาถึงทุกวันนี้ จนต่อมาน้องได้ไป Collabs กับแบรนด์สินค้าชั้นนำต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น Nike, Chanel, Bape และอื่นๆ อีกมากมาย โดยการจะผลิตน้องออกมานั้น จะทำออกมาในรูปแบบ Limited Edition แบบมีจำนวนจำกัด ซื้อทันก็ได้เป็นเจ้าของ แต่ถ้าไม่ทันก็ต้องหาซื้อต่อจากคนอื่น หรือรอรุ่นใหม่ออกมาเท่านั้น แบบนี้เองที่ทำให้ หมีแบร์บริค มีชื่อเสียงมากขึ้น และมูลค่าก็สูงตามไปด้วย
Bearbrick จากของเล่นที่ผันตัวมาเป็นของสะสมราคาแพง อีกทั้งยังสามารถเก็งกำไร แบบเอาไปขายต่อได้ในราคาที่ดีได้อีก ทาง Tatsuhiko Akashi ก็ได้คิดต่อยอดดีไซน์มาเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
โดยการปล่อยดีไซน์ใหม่ จะปล่อยมาปีละ 2 รอบเท่านั้น และจะต้องเป็นช่วงฤดูหนาว และฤดูร้อน ซึ่ง 1 ซีรีส์จะประกอบไปด้วยหมีแบร์บริค 4 ไทป์ ได้แก่
ที่มา : หมีแบร์บริค (Bearbrick) คืออะไร ทำไมราคาแพง? [1]
คนที่เข้ามาเป็นนักสะสมฟิกเกอร์ ที่เป็นเหล่าของเล่นอาร์ตทอย จะต้องเห็นความนิยมของน้องหมีแบร์บริคมาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่า ถึงน้องจะมีราคาที่แพงขนาดไหน คนที่เขารักเพราะเป็นแฟนคลับจริงๆ
ต่างยอมควักเงินในกระเป๋า เพื่ออยากเป็นเจ้าของ อีกทั้งการที่มีน้องตั้งอยู่ที่บ้าน ยังบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเจ้าของอีกด้วย ว่าแต่ทำไมน้องถึงมีราคาที่แพงขนาดนั้น บางตัวพุ่งสูงถึงหลักแสนก็มี
ที่มา : ทำความรู้จักกับหมีแบร์บริค (BE@RBRICK) คืออะไร? ทำไมถึงราคาแพง? [2]
หมีแบร์บริค ตุ๊กตาของเล่นที่ประสบความสำเร็จ ในการดีไซน์คาแรคเตอร์รูปแบบต่างๆ ที่ได้เข้าไปอยู่ในใจของนักสะสม ไม่ว่าจะคนไทย หรือต่างชาติ มีน้องตั้งโชว์ในบ้าน ถือว่าให้ความมั่งคั่งแก่เจ้าของอย่างดีเลยล่ะ