Bell Pepper หรือ พริกหวาน เป็นหนึ่งในผักที่มีสีสันสดใส และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีหลายสีเช่น แดง เขียว ส้ม และเหลือง ซึ่งแต่ละสี มีคุณสมบัติ ทางโภชนาการที่คล้ายกัน ให้ทั้งรสชาติอร่อย และคุณประโยชน์มากมาย
Bell Pepper ปลูกได้ดี ในสภาพอากาศอบอุ่น และมีแสงแดดเพียงพอ สามารถปลูกได้ ในหลายสภาพดิน ที่มีการระบายน้ำดี ปัจจุบัน ปลูกอย่างแพร่หลาย ในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อการบริโภค ภายในประเทศ และการส่งออก
ในปี 2022 การผลิตพริกหวาน ในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 528,700 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.0% เมื่อเทียบกับปี 2021 และลดลงเล็กน้อย 1.6% เมื่อเทียบกับปี 2020 รัฐที่ผลิตพริกหวาน ชั้นนำในประเทศ ได้แก่ ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย และจอร์เจีย [1]
พริกหวาน เป็นผักในตระกูลเดียวกับพริก และ Tomato มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum annuum มีผลใหญ่ รูปทรงกลม หรือยาวเล็กน้อย คล้ายระฆัง เป็นที่มาของชื่อ พริกหวานไม่มีความเผ็ดร้อน เหมือนพริกชนิดอื่น
พริกหวานมีถิ่นกำเนิด ในอเมริกากลาง และใต้ และได้รับการนำไปเผยแพร่ทั่วโลก โดยนักสำรวจยุโรป หลังจากการค้นพบทวีปอเมริกา ในยุคแรกๆ มีการใช้พริกหวาน สำหรับอาหาร และสมุนไพร เนื่องจากคุณสมบัติ ทางโภชนาการที่โดดเด่น
พริกหวานมีวิตามิน C สูงมาก โดยเฉพาะพริกหวานสีแดง นอกจากนี้ ยังมีวิตามิน A, แมกนีเซียม และไฟเบอร์ ช่วยในการป้องกันโรคทางตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน และบำรุงสุขภาพผิวพรรณ
แหล่งข้อมูลที่ 1 พริกหวานปริมาณ 100 gram ให้ energy 31 kilocalories
ที่มา: Bell Pepper [2]
แหล่งข้อมูลที่ 2 พริกหวานปริมาณ 100 gram ให้ energy 20 kilocalories
ที่มา: พลังงานและสารอาหาร [3]
ข้อมูลทั้งสองแหล่ง มีความคล้ายคลึงกัน ในบางด้าน แต่ยังคงมีความแตกต่าง ในปริมาณ และรายละเอียดของสารอาหาร ทั้งนี้ อาจเกิดจากแหล่งข้อมูล ที่มีการวัด หรือการคำนวณ ที่แตกต่างกัน หรือพันธุ์ของพริกหวาน ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผล ต่อค่าสารอาหารที่ได้
ดิบ: รับประทานเป็นของว่าง หรือใส่สลัด
ปรุงสุก: อบ ย่าง หรือต้ม เป็นส่วนหนึ่ง ของอาหารจานหลัก
ผัด: ใช้เป็นส่วนผสม ในเมนูผัดต่างๆ เพื่อเพิ่มสีสัน และรสชาติ
พริกหวาน เป็นผักที่ไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติ และสีสันให้กับอาหาร แต่ยังมีคุณประโยชน์มากมาย ที่ส่งเสริมสุขภาพ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม สำหรับทุกมื้ออาหาร