ผักสีแดง มีอะไรบ้าง ประโยชน์และสารอาหาร

ผักสีแดง

ผักสีแดง เป็นกลุ่มผักที่มีความโดดเด่น ด้วยสีสันสดใส และคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยสารอาหารที่สำคัญ ซึ่งมีประโยชน์ ต่อสุขภาพหลากหลายประการ ในบทความนี้ เราจะพาไปดู สารอาหารที่สำคัญ ในผักสีแดง แต่ละชนิด และประโยชน์ที่น่าสนใจ

ผักสีแดง ประเภทผัก และสารอาหารที่สำคัญ

  • มะเขือเทศมีไลโคปีน (Tomato) มีสาร Lycopene เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และยังมีวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการผลิตคอลลาเจน และทำให้ผิวพรรณสดใส
  • บีทรูท (Tomato) มีไนเตรต (Nitrate) ช่วยลดความดันโลหิต และเสริมสร้างประสิทธิภาพ ในการออกกำลังกาย มีโฟเลต (Folate) สำคัญในการผลิตเซลล์ใหม่ และการซ่อมแซมเซลล์ และยังมีไฟเบอร์ (Fiber) ช่วยในการย่อยอาหาร และลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
  • พริกหวานแดงไลโคปีน (Red Bell Pepper) มีวิตามินเอ (Vitamin A) มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งสำคัญในการบำรุงสายตา และเสริมสร้าง ระบบภูมิคุ้มกัน มีวิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยในการทำงานของสมอง และการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง และยังมีวิตามินอี (Vitamin E) ช่วยปกป้องเซลล์ จากการถูกทำลาย โดยอนุมูลอิสระ
  • แครอทแดง (Red Carrot) มีเบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยง ของโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ และสำคัญ ในการบำรุงสายตา มีวิตามินเค (Vitamin K) สำคัญในการแข็งตัวของเลือด และการบำรุงกระดูก และยังมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
  • แรดิชสารอาหาร (Red Radish) มีวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการผลิตคอลลาเจน มีแคลเซียม (Calcium) ที่สำคัญ ในการบำรุงกระดูก และฟัน และยังมีไฟเบอร์ (Fiber) ช่วยในการย่อยอาหาร และการควบคุมน้ำหนัก
  • พริกปีศาจ (Ghost Pepper) มีวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณสดใส มีเบตาแคโรทีน (Beta-Carotene) ช่วยในการบำรุงสายตา และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยังมีโพแทสเซียม (Potassium) ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท

ผักสีแดง ประโยชน์ของผักสีแดงต่อสุขภาพ

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระใน ผักสีแดง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกาย มีความสามารถ ในการต่อสู้กับเชื้อโรค และลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคต่างๆ
  • บำรุงสายตา: เบต้าแคโรทีนในแครอทแดง และพริกหวานแดง ช่วยในการบำรุงสายตา และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคตา ที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น จอประสาทตาเสื่อม
  • ลดความเสี่ยง ของโรคเรื้อรัง: สารต้านอนุมูลอิสระในผักสีแดง เช่น ไลโคปีน และแคโรทีนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
  • ส่งเสริมการย่อยอาหาร: ไฟเบอร์ในบีทรูท และหัวไชเท้าแดง ช่วยในการทำงาน ของระบบย่อยอาหาร ทำให้การย่อยอาหาร เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดอาการท้องผูก
  • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีและวิตามินเอ ในผักสีแดง ช่วยในการฟื้นฟู และบำรุงผิว ทำให้ผิวดูสดใส และสุขภาพดี

ผักสีแดง มีไลโคปีน (Lycopene) คืออะไร

ไลโคปีนเป็นสารประกอบ ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทรงพลัง พบมากในผลไม้ และผักสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู และพริกหวานสีแดง ไลโคปีนมีโครงสร้างทางเคมี เป็นไฮโดรคาร์บอน ที่ประกอบด้วยพันธะคู่ หลายพันธะ ทำให้มีคุณสมบัติ ในการดูดซับแสง และให้สีแดงสดใส

จากการศึกษาพบว่า ไลโคปีนมีความสามารถ ในการป้องกัน ความเสียหายของเซลล์ ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ (free radicals) ซึ่งเป็นสาเหตุ ของความเสื่อมโทรมของเซลล์ และเนื้อเยื่อในร่างกาย การบริโภคไลโคปีน สามารถช่วยลดความเสี่ยง ของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด [1]

ผักสีแดง อาหารที่มีไลโคปีนสูง 10 อันดับ

ผักสีแดง

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่พบมากในผัก และผลไม้สีแดง หรือสีชมพู มาดู 10 อันดับอาหาร ผัก และผลไม้ที่มีไลโคปีนสูง พร้อมปริมาณไลโคปีนต่อปริมาณ 100 กรัม

  • มะเขือเทศ: 3,025-9,300 mcg. 
  • แตงโม: 4,532 mcg. 
  • เกรปฟรุตสีชมพู: 3,450 mcg. 
  • ฝรั่งสีชมพู: 5,204 mcg. 
  • มะละกอ: 1,828 mcg.
  • พริกแดง: 484 microgram
  • แครอท: 1,200 microgram
  • มะเขือเทศเชอร์รี: 3,025 microgram
  • มะเขือเทศอบแห้ง: 45,902 microgram
  • มะเขือเทศกระป๋อง: 2,800 microgram

ที่มา: กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีน [2]

 

ผักสีแดง วิธีการบริโภคไลโคปีน

สำหรับการบริโภคไลโคปีน ในรูปแบบอาหารเสริม ปริมาณที่แนะนำทั่วไป อยู่ระหว่าง 2-30 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนการใช้ไลโคปีน ในรูปแบบอาหารเสริม เนื่องจากปริมาณที่เหมาะสม อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสุขภาพ และสภาวะของแต่ละบุคคล [3]

ผักสีแดง ข้อแนะนำ วิธีการบริโภคผักสีแดง

  • ทานสดในสลัด: การบริโภคผักสีแดง ในรูปแบบสดๆ เช่น มะเขือเทศ พริกหวานแดง หรือแครอทแดง ในสลัด จะช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์
  • ทำซุป: การทำซุปจากบีทรูท หรือมะเขือเทศ ช่วยให้ได้รสชาติอร่อย และสามารถเพิ่มความหลากหลาย ในการบริโภคผักสีแดง
  • น้ำผักสด: การทำน้ำผัก จากบีทรูทหรือแครอทแดง เป็นวิธีที่ดี ในการบริโภคผักสีแดง เพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารสูงสุด
  • ใส่ในเมนูต่างๆ: ผักสีแดงสามารถนำไปประกอบอาหาร หลากหลายเมนู เช่น พาสต้า แกง หรืออาหารจานผัด

สรุป ผักสีแดงผัก มีไลโคปีน และสารอาหารที่สำคัญ

ผักสีแดง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารอาหารที่สำคัญเช่น ไลโคปีน เบต้าแคโรทีน และวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และบำรุงสายตา ช่วยในการย่อยอาหารการบริโภคผักสีแดง อย่างหลากหลาย จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

149