
สารอันตราย พืชอะไรที่มี Safrole สูง
- Fiona
- 14 views

พืชอะไรที่มี Safrole สูง เป็นคำถามที่อาจไม่คุ้นหู สำหรับหลายคน เพราะสารแซฟรอลไม่ใช่สารที่เรามักได้ยินในชีวิตประจำวัน แต่เป็นสารประกอบตามธรรมชาติ ที่พบในพืชบางชนิด โดยเฉพาะในพืชที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เช่นราก ใบ หรือเปลือกไม้บางประเภท กลิ่นของแซฟรอลมักให้ความรู้สึกหวาน อบอุ่น คล้ายกลิ่นเครื่องเทศ
- ผลกระทบแซฟรอลต่อสุขภาพ
- พืชอะไรที่มี Safrole สูง
- ประโยชน์ของแซฟรอล
ประวัติ ของแซฟรอล การค้นพบครั้งแรก
ประวัติของแซฟรอล เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยในปี 1844 นักเคมีชาวฝรั่งเศส Édouard Saint-Èvre ได้ศึกษาน้ำมันหอม จากพืชตระกูลซาสซาฟราส และสามารถระบุสูตรเชิงประจักษ์ ของสารนี้ได้เป็นครั้งแรก ต่อมาในปี 1869 Édouard Grimaux และ J. Ruotte ได้ตั้งชื่อสารนี้ว่า Safrole
พร้อมบันทึกคุณสมบัติ ปฏิกิริยากับโบรมีน ที่บ่งบอกถึงการมีหมู่ allyl อยู่ในโครงสร้าง ทำให้เริ่มมีการทำความเข้าใจลักษณะเคมีของมันมากขึ้น ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1880 นักเคมี Theodor Poleck ได้เสนอว่าสารนี้เป็นอนุพันธ์ของวงแหวนเบนซีน ที่มีกลุ่มออกซิเจนเชื่อมอยู่
และในปี 1888 Julius Wilhelm Brühl ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่ากลุ่ม C₃H₅ ที่อยู่ในโครงสร้างนั้นคือหมู่ allyl ไม่ใช่ propenyl ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้โครงสร้างของแซฟรอล ถูกเข้าใจอย่างถูกต้องมากขึ้น ประวัติของแซฟรอลจึงเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ทางเคมี ที่ถูกเปิดเผยผ่านการศึกษา ของนักวิทยาศาสตร์หลายช่วงยุค (30 ตุลาคม 2025) [1]
แซฟรอลกลิ่นหอมหวาน สู่สารควบคุม
สารแซฟรอลเคยเป็นสารที่ได้รับความนิยมในอดีต เพราะให้กลิ่นหอมหวาน อบอุ่น คล้ายลูกกวาด จึงถูกนำมาใช้ในเครื่องดื่ม ลูกกวาด และผลิตภัณฑ์แต่งกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันจากต้นซาสซาฟราส ที่เป็นแหล่งสำคัญของสารนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการศึกษาเชิงพิษวิทยา ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20
พบว่าแซฟรอล สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ และเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง ทำให้หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ออกข้อบังคับจำกัด หรือห้ามใช้แซฟรอล ในอาหารอย่างเป็นทางการ ต่อมามีการค้นพบว่า แซฟรอลสามารถถูกนำไปเป็นวัตถุดิบ ตั้งต้นผลิตสารเสพติด
ทำให้ความต้องการแซฟรอล ในตลาดมืดสูงขึ้น และนำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า เพื่อสกัดน้ำมันจากพืชป่าบางชนิดโดยตรง ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนภาพ ของแซฟรอลจากกลิ่นหอมหวานในร้านขนม มาเป็นสารก่อมะเร็งที่ต้องควบคุม และยังโยงกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และอาชญากรรมข้ามชาติอีกด้วย (1 สิงหาคม 2019) [2]
งานวิจัยผลกระทบแซฟรอลต่อสุขภาพ
ข้อมูลวิจัยระบุว่าสารแซฟรอล อาจมีความเสี่ยงต่อการก่อมะเร็ง โดยเฉพาะในตับ เมื่อได้รับในปริมาณสูงหรือได้รับต่อเนื่องเป็นเวลานาน แซฟรอลถูกจัดให้เป็นสารที่ไม่ปลอดภัย สำหรับการบริโภค ในรูปแบบสกัดเข้มข้น และในหลายประเทศ มีการจำกัดหรือห้ามใช้ในอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ แซฟรอลยังสามารถถูกนำไปใช้ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดบางชนิด ทำให้มีความเสี่ยงต่อ ระบบประสาทและสมอง หากได้รับในรูปแบบ และปริมาณที่ไม่เหมาะสม สารนี้อาจส่งผลต่อสารสื่อประสาท ทำให้สมดุลอารมณ์เสีย เกิดความวิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน
หรือแม้แต่ความเสียหายของเซลล์ประสาทในระยะยาว ดังนั้นแม้สารแซฟรอล จากซาสซาฟราส ในรูปแบบสมุนไพรธรรมชาติ อาจถูกใช้ในบางพื้นที่ แต่การใช้สารสกัดที่มีแซฟรอลเข้มข้น หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการควบคุม ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง (28 กรกฎาคม 2023) [3]
พืชอะไรบ้างที่มีแซฟรอลสูง?

- รากและเปลือก Sassafras albidum พืชชนิดนี้ถือว่าเป็นแหล่งแซฟรอล ตามธรรมชาติที่สูงที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของรากและเปลือก ซึ่งอาจมีปริมาณประมาณ 100–300 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของวัตถุดิบสด กลิ่นที่ได้จะหวาน คล้ายเครื่องเทศผสมวานิลา เคยใช้ทำเครื่องดื่ม Root Beer ในสมัยก่อน
- ต้นการบูรบางสายพันธุ์ เป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีส่วนประกอบแตกต่างกัน ตามสายพันธุ์ และสภาพแวดล้อม โดยบางสายพันธุ์ จะมีสัดส่วนแซฟรอลค่อนข้างสูง โดยประมาณ 50–200 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของใบ หรือเปลือกสด กลิ่นจะมีความอบอุ่นแบบไม้หอม
- ใบพลู ใบพลูที่พบทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีแซฟรอลในระดับปานกลาง ประมาณ 20–60 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ กลิ่นของใบพลูจะฉุน สด และมีความเผ็ดร้อนเล็กน้อย ทำให้ถูกใช้เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ในการเคี้ยวคู่กับหมาก ในหลายภูมิภาค
- Basil โหระพาบางสายพันธุ์ ไม่ใช่โหระพาทุกชนิดจะมีแซฟรอล แต่โหระพาที่กลิ่นเข้มและออกโทนเครื่องเทศ โหระพาที่ปลูกในพื้นที่ร้อนชื้นบางแห่ง จะมีแซฟรอลในปริมาณประมาณ 2–8 มก. ต่อ 100 กรัมของใบสด ปริมาณนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
- ลูกจันทน์เทศ มีปริมาณแซฟรอลน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ โดยอยู่ที่ประมาณ 0.1–3 มก. ต่อ 100 กรัมของเมล็ดแห้ง กลิ่นของลูกจันทน์เทศ ถูกใช้ในของหวาน และอาหารหลายชนิดทั่วโลก ปริมาณแซฟรอลที่พบในลูกจันทน์เทศตามธรรมชาติถือว่าต่ำมาก ยังสามารถใช้เป็นเครื่องเทศได้ตามปกติ
ประโยชน์ของแซฟรอลมีอะไรบ้าง?
- แม้ปัจจุบันจะถูกจำกัดในอาหาร แต่แซฟรอลเคยมีบทบาทหลายด้านในอดีต และในบางอุตสาหกรรม ภายใต้การควบคุม
- ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว มีกลิ่นหอมหวาน คล้ายเครื่องเทศ จึงเคยเป็นตัวแต่งกลิ่นในลูกกวาด น้ำอัดลม และ Root Beer
- ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอม ผสมน้ำหอม สบู่ เทียนหอม เพื่อให้กลิ่นมีความนุ่มลึก และอบอุ่น
- ใช้ใน Aroma และสมุนไพรพื้นบ้านบางพื้นที่ น้ำมันจากรากซาสซาฟราส เคยถูกใช้เพื่อผ่อนคลาย หรือบรรเทาอาการท้องอืด ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ไม่ใช่แนวทางการแพทย์ในปัจจุบัน
- เป็นสารตั้งต้นในเคมีอินทรีย์ ใช้ผลิตสารประกอบอื่น ในอุตสาหกรรมภายใต้ระบบควบคุม
- เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยปกป้องต้นพืชเอง ทำหน้าที่เป็น defense compound ป้องกันแมลง และศัตรูพืช
ข้อเสียของแซฟรอลมีอะไรบ้าง?
- เสี่ยงก่อมะเร็งตับ งานวิจัยในสัตว์ทดลอง พบว่าสามารถทำให้เซลล์ตับเสียหาย และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง
- เป็นพิษต่อตับ เมื่อได้รับในปริมาณสูง Metabolites ของแซฟรอลสามารถทำลายเซลล์ตับได้โดยตรง
- ถูกห้ามใช้ในอาหารในหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ
- อาจเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัว หัวใจเต้นเร็ว หากได้รับในปริมาณมาก หรือเข้มข้น
- เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า การสกัดน้ำมันจากต้นป่า เช่นซาสซาฟราส ทำให้เกิดการทำลายระบบนิเวศในหลายพื้นที่
- ถูกควบคุมตามกฎหมาย เพราะสามารถนำไปใช้ผลิตสารต้องห้ามบางชนิด ทำให้การครอบครอง การผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจผิดกฎหมาย
- ไม่เหมาะใช้เองที่บ้าน การใช้โดยไม่เข้าใจความเข้มข้น และปริมาณ อาจเกิดอันตรายได้ง่าย
พืชอะไรที่มีแซฟรอลสูง กล่าวโดยสรุป
แซฟรอลเป็นสารหอมระเหยตามธรรมชาติ ที่พบในพืชบางชนิด เช่นรากและเปลือกของซาสซาฟราส, ต้นการบูรบางสายพันธุ์, ใบพลู, โหระพาบางชนิดรวมถึงในลูกจันทน์เทศ สารนี้เคยถูกใช้เพิ่มกลิ่นในอาหาร และน้ำหอม แต่ภายหลังมีข้อมูลวิจัยที่ชี้ถึงความเสี่ยงต่อการก่อมะเร็ง ไม่ควรใช้ในรูปแบบเข้มข้นเอง หากไม่มีความรู้
ใครที่ควรระวังสารแซฟรอลเป็นพิเศษ
ผู้ที่ควรระวังสารแซฟรอลเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาตับอยู่เดิม เช่นไขมันพอกตับ ตับอักเสบ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแซฟรอลอาจทำร้ายเซลล์ตับได้ง่าย นอกจากนี้ เด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากตับและระบบกำจัดพิษในร่างกายยังไม่สมบูรณ์ หรือมีความไวต่อสารเคมี
ได้รับสารแซฟรอลเท่าไหร่ถึงเป็นอันตราย
ปริมาณแซฟรอลที่ทำให้เกิดอันตรายขึ้นอยู่กับรูปแบบ ความต่อเนื่องของการบริโภค การได้รับในปริมาณสูงต่อเนื่องนาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำลายตับ และการเกิดมะเร็ง งานวิจัยในสัตว์พบว่า เมื่อได้รับแซฟรอลในระดับประมาณ 1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ จะเพิ่มโอกาสเกิดเนื้องอกที่ตับ
- Tags: สุขภาพ


