Red cabbage หรือ กะหล่ำปลีม่วง ไม่เพียงแต่เพิ่มสีสัน ให้กับจานอาหารเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ ที่น่าประทับใจ ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจทั้งประวัติ การเพาะปลูก ประโยชน์ และการนำกะหล่ำปลีม่วงมารับประทาน
กะหล่ำปลีม่วงเติบโตได้ดี ในดินที่มีการระบายน้ำดี และภูมิอากาศเย็น มักจะปลูกในยุโรป อเมริกาเหนือ และช่วงฤดูใบไม้ร่วง ถึงฤดูหนาว เพื่อให้ได้สี และรสชาติที่ดีที่สุด ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการเพาะปลูก และผลผลิตของกะหล่ำปลีม่วงทั่วโลกนั้น
พบว่าประเทศจีน เป็นผู้ผลิตกะหล่ำปลีรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการผลิตต่อปีอยู่ที่ 35,092,621.83 ตัน ประเทศอินเดียมาเป็นอันดับที่สอง ด้วยปริมาณการผลิตต่อปีอยู่ที่ 9,560,000 ตัน และประเทศเกาหลีใต้ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สาม ด้วยปริมาณการผลิตต่อปีอยู่ที่ 2,473,171.11 ตัน [1]
กะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชในตระกูล Brassicaceae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี, Broccoli, และคะน้า มีใบหนา และแข็ง สีม่วงเข้มถึงแดง และมักใช้ในการทำสลัด และดอง เพราะมีสีที่สวยงาม และมีประโยชน์ทางโภชนาการสูง เช่น วิตามิน C และ Anthocyanin ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
กะหล่ำปลีม่วงมีต้นกำเนิดจากยุโรป มีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่สมัยโบราณ ในอาณาจักรกรีก และโรมัน และได้รับการปรับปรุงพันธุ์ ในยุโรปกลางและเหนือ ถูกนำมาใช้เป็นทั้งอาหารและยา และ เพราะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง ต่อมาได้กระจายไปทั่วยุโรป และนิยมในหลากหลายวัฒนธรรม
กะหล่ำปลีม่วงอุดมไปด้วยวิตามิน C และ K และมี Anthocyanin ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการต่อสู้กับโรคหัวใจ และมีผลดีต่อสุขภาพของผิว แหล่งข้อมูลที่ 1 ระบุว่ากะหล่ำปลีม่วงปริมาณ 100 กรัม ให้ มี energy 31 kilocalories
ที่มา: พลังงานและสารอาหาร [2]
แหล่งข้อมูลที่ 2 ระบุว่า กะหล่ำปลีม่วงปริมาณ 100 กรัม ให้ มี energy 31 kilocalories
ที่มา: Cabbage, red, raw [3]
กะหล่ำปลีม่วงไม่เพียงแต่เพิ่มสีสัน ให้กับมื้ออาหาร แต่ยังช่วยเสริมสุขภาพ ด้วยประโยชน์มากมาย ทำให้เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ที่ต้องการผัก ที่มีสรรพคุณทางโภชนาการสูง