Swiss Chard หรือ สวิสชาร์ด เป็นผักใบเขียวที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ เนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการ และความสามารถในการประกอบอาหาร ได้หลายรูปแบบ ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับสวิสชาร์ด จากที่มา ไปจนถึงประโยชน์ และวิธีการนำมาใช้ ในอาหารประจำวัน
สวิสชาร์ดเป็นผักที่ปลูกง่าย และทนทานต่อหลายสภาพอากาศ โดยสามารถเติบโตได้ดี ในดินที่ร่วนซุย และมีการระบายน้ำดี มีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ในยุโรป และอเมริกาเหนือ และสามารถปลูกได้ในฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูใบไม้ร่วง เมื่ออากาศไม่ร้อนจัด
ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณผลผลิต ของสวิสชาร์ด มีรายงานว่าผลผลิต สามารถเก็บเกี่ยวได้ถึง 40 ตัน ต่อ
hectare แต่ปกติแล้ว ผลผลิตจะอยู่ระหว่าง 20 ถึง 30 ตันต่อ hectare [1]
สวิสชาร์ด เป็นผักใบเขียว ที่มีใบขนาดใหญ่ และมีก้านใบ ที่สามารถมีสีต่างๆ ตั้งแต่เขียว ส้ม แดง หรือเหลือง ทั้งใบ และก้านของสวิสชาร์ด มีความกรอบ และมีรสชาติอ่อนๆ คล้ายผักโขม ทานง่าย สามารถประยุกต์ใช้ได้ ในหลากหลายเมนูอาหาร
สวิสชาร์ดมีถิ่นกำเนิดในแถบ mediterranean ได้รับการนำมาใช้ใน Italy และ France อิตาลี มาตั้งแต่ยุคสมัยในศตวรรษที่ 16 ที่มาของชื่อ “สวิส” ชาร์ด นั้นมาจากการที่นักพฤกษศาสตร์ชาว Swiss ได้จัดประเภทพืชชนิดนี้
สวิสชาร์ดมีวิตามิน K, A, C และมีแร่ธาตุเช่น Iron และ magnesium สูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านการอักเสบ และช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาท จากแหล่งข้อมูลที่ 1 ระบุว่า สวิสชาร์ดปริมาณ 1 ถ้วย หรือ 175 กรัม มี Calories 35
ที่มา: Swiss Chard [2]
จากแหล่งข้อมูลที่ 2 ระบุว่า สวิสชาร์ดปริมาณ 1 ถ้วย มี Calories 6.8
ที่มา: สวิสชาร์ด [3]
ข้อมูลระหว่างสองแหล่ง มีความแตกต่างอย่างมาก ทั้งในหน่วยวัด และปริมาณสารอาหารที่ระบุ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความแตกต่าง ในการวิเคราะห์ หรือวิธีการวัดที่ไม่เหมือนกัน หรืออาจเกิดจากความแตกต่างในพันธุ์หรือสภาพการเตรียมก่อนการวิเคราะห์
สวิสชาร์ดมีจำหน่ายทั้งในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายผักนำเข้าจากต่างประเทศ มักจำหน่ายในรูปแบบสด และบางครั้ง อาจพบในรูปแบบแช่แข็ง ยกตัวอย่างเว็บไซต์ออนไลน์
สวิสชาร์ดเป็นผักใบเขียว ที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมาย ทางโภชนาการ เป็นวัตถุดิบที่หลากหลาย สามารถนำมาปรุงอาหาร ได้หลายรูปแบบ และเติมเต็มความต้องการ ของร่างกาย ในการรักษาสุขภาพ ได้อย่างดีเยี่ยม