Red onion หรือ หอมหัวใหญ่แดง เป็นหนึ่งในส่วนประกอบพื้นฐาน ในหลากหลายวัฒนธรรมการทำอาหารทั่วโลก ให้รสชาติที่โดดเด่น และความหวาน พร้อมกลิ่นฉุนเล็กน้อย บทความนี้ จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ การเพาะปลูก ประโยชน์ และการนำมารับประทานของหอมหัวใหญ่แดง
หอมหัวใหญ่แดง ปลูกได้ดี ในดินที่มีการระบายน้ำดี และในสภาพอากาศอบอุ่นถึงเย็น ประเทศอย่างอินเดีย, จีน และสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตหอมหัวใหญ่แดงรายใหญ่ จากข้อมูลระบุว่า ทั่วโลกผลิตหอมหัวใหญ่แดงประมาณ 105 พันล้านปอนด์ ต่อปี โดยคนเฉลี่ย คนกินหอมหัวใหญ่แดงประมาณ 14 ปอนด์ ต่อปี
ประเทศอินเดีย เป็นผู้ผลิตหอมหัวใหญ่แดงอันดับหนึ่ง ด้วยปริมาณการผลิต 26,738 เมตริกตัน ต่อปี หอมที่ปลูกในอินเดียมีความเข้มข้น และปลูกได้ตลอดทั้งปี ประเทศจีนผลิตประมาณ 23,660 เมตริกตัน หรือประมาณ 20 ล้านตัน ต่อปี โดยใช้พื้นที่ปลูกหอมประมาณ 9.2 ล้านเอเคอร์ [1]
หอมหัวใหญ่แดง เป็นพืชในตระกูล Alliaceae หรือตระกูลหอม ตระกูลเดียวกับกระเทียม และ Onion พืชในตระกูลนี้ มีลักษณะเด่นที่มีรากหัว และมีกลิ่นหอมแรง เมื่อถูกหั่นหรือบด หอมหัวใหญ่แดงเป็นพันธุ์หอม ที่มีลักษณะเปลือกสีม่วงแดง และเนื้อในมีสีขาวและม่วงสลับกัน มีรสชาติอ่อนกว่าหอมหัวใหญ่ขาว
หอมหัวใหญ่แดงเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในเอเชียกลาง และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และได้รับการปลูกทั่วโลกมาหลายพันปี เดิมทีหอมแดงเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวัน ในวัฒนธรรมโบราณ เช่น อินเดียและจีน และได้แพร่กระจายไปยังยุโรปในยุคกลาง ผ่านทางการค้า
หอมหัวใหญ่แดงมีสาร Anthocyanin ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน C, ไฟเบอร์ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ แหล่งข้อมูลที่ 1 ระบุว่าหอมหัวใหญ่แดง ปริมาณ 100 กรัม มีพลังงาน 72 kilocalories
ที่มา: พลังงานและสารอาหาร [2]
แหล่งข้อมูลที่ 2 ระบุว่าหอมหัวใหญ่แดง ปริมาณ 100 กรัม มีพลังงาน 71 kilocalories
ที่มา: Shallots [3]
หอมหัวใหญ่แดงไม่เพียงแต่เป็นส่วนเสริม ในอาหารที่สวยงาม และอร่อยในจานอาหาร แต่ยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ทำให้เป็นทางเลือกที่ดี ในการเติมเต็ม และเพิ่มคุณค่าให้กับมื้ออาหาร