วิตามินที่ละลายในน้ำ และผลเสียจากการรับมากเกินไป

วิตามินที่ละลายในน้ำ

วิตามินที่ละลายในน้ำ เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และสามารถละลายได้ในน้ำ เช่นวิตามินกลุ่ม B และวิตามิน C ซึ่งร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ เมื่อมีปริมาณที่มากเกินไป แต่ถ้ารับประทานเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

วิตามินที่ละลายในน้ำ Water-soluble vitamins คืออะไร

วิตามินที่ละลายในน้ำ

วิตามินที่ละลายในน้ำเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ร่างกายต้องการในการดำรงชีวิต เนื่องจากวิตามินเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหาร การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการบำรุงสุขภาพในด้านต่างๆ วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินกลุ่ม B และวิตามิน C ซึ่งต่างมีบทบาทสำคัญ ต่อการทำงานของร่างกาย และสามารถขับออกจากร่างกายได้ ทางปัสสาวะ [1]

วิตามิน ที่ละลายในน้ำ ผลเสียจากการรับปริมาณมากเกิน

  • ผลเสียวิตามินB1 การรับวิตามิน B1 มากเกินไปโดยปกติไม่เป็นอันตราย เนื่องจากร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัว ปวดศีรษะ และคลื่นไส้ได้
  • ผลเสียวิตามินB2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามิน B2 มีความเป็นพิษต่ำ แต่หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม ซึ่งแม้จะไม่อันตราย แต่ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
  • ผลเสียวิตามินB3 (ไนอะซิน) หากรับวิตามิน B3 เกินขนาด (มากกว่า 35 มิลลิกรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดอาการหน้าแดง ผื่นแดง คัน ปวดศีรษะ หรือในกรณีที่รับเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลเสียต่อการทำงานของตับ และระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ผลเสียวิตามินB5 การรับวิตามิน B5 มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และคลื่นไส้ได้ แต่ปกติจะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากมีความเป็นพิษต่ำ
  • ผลเสียวิตามินB6 การรับวิตามิน B6 เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้เกิดอาการชา หรือเสียวปลายมือปลายเท้า หรือในบางกรณี อาจทำให้เกิดความเสียหาย ของระบบประสาทได้
  • ผลเสียวิตามินB7 วิตามิน B7 มีความเป็นพิษต่ำ แต่การรับเกินขนาด ในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ หรือมีปัญหากับการตรวจผลทางห้องปฏิบัติการบางประเภทได้
  • ผลเสียวิตามินB9 หากได้รับโฟเลตมากเกินไป (มากกว่า 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดความเสี่ยง ที่จะซ่อนอาการขาดวิตามิน B12 ทำให้เกิดปัญหา ทางระบบประสาทในระยะยาว
  • ผลเสียวิตามินB12 วิตามิน B12 มีความเป็นพิษต่ำ แต่หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่นผื่นคัน หรืออาการแพ้แบบรุนแรง ในบางกรณี
  • ผลเสียวิตามินC การรับวิตามิน C มากเกินไป (มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาจเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดนิ่วในไตได้

ที่มา: Getting Too Much of Vitamins And Minerals [2]

 

วิตามิน ที่ละลายในน้ำ แต่ละชนิด ที่ควรได้รับแต่ละวัน

วิตามินที่ละลายในน้ำ ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ประกอบด้วยวิตามิน C และวิตามินกลุ่ม B ซึ่งมีปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน แตกต่างกันไป ตามประเภทของวิตามิน และเพศ อายุ รวมถึงสภาวะทางร่างกายของแต่ละคน โดยปริมาณวิตามินที่ละลายในน้ำ ที่แนะนำต่อวัน (RDA) มีดังนี้

  • วิตามินB1: ผู้ชาย 1.2 มิลลิกรัมต่อวัน, ผู้หญิง 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน
    วิตามินB2: ผู้ชาย 1.3 มิลลิกรัม/วัน, ผู้หญิง 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน
  • วิตามินB3: ผู้ชาย 16 มิลลิกรัม/วัน, ผู้หญิง 14 มิลลิกรัมต่อวัน
  • วิตามินB5: ผู้ชายและผู้หญิง 5 มิลลิกรัม ต่อวัน
  • วิตามินB6: ผู้ชายและผู้หญิง (อายุ 19-50 ปี) 1.3 มิลลิกรัม ต่อวัน
  • วิตามินB7: ผู้ชายและผู้หญิง 30 ไมโครกรัม/วัน
  • วิตามินB9: ผู้ชายและหญิง 400 ไมโครกรัม/วัน, หญิงตั้งครรภ์ 600 ไมโครกรัมต่อวัน
  • วิตามินB12: ผู้ชายและหญิง 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
  • วิตามินC: ผู้ชาย 90 มิลลิกรัม/วัน, ผู้หญิง 75 มิลลิกรัมต่อวัน

ที่มา: Vitamins and Minerals [3]

วิตามินที่ละลายในน้ำ ข้อแนะนำในการรับวิตามิน

  • รับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย โดยเน้นที่ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้วิตามินเสริม ในปริมาณที่สูงเกินไป โดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • หากมีอาการขาดวิตามิน หรือมีข้อสงสัย เกี่ยวกับการรับวิตามินเสริม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำ

วิตามินที่ละลายในน้ำ ข้อดีวิตามินที่ละลายในน้ำ

  • ขับออกทางปัสสาวะ: วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่นวิตามินกลุ่มB และวิตามินC จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เมื่อได้รับมากเกินความจำเป็น ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่ำกว่า เมื่อเทียบกับวิตามินที่ละลายในไขมัน
  • จำเป็นต่อกระบวนการ Metabolism: วิตามินที่ละลายในน้ำมีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยเฉพาะการช่วยให้ร่างกายแปลงคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นพลังงานที่สามารถใช้ได้
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีมีบทบาทสำคัญ ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหวัด และโรคติดเชื้ออื่นๆ
  • ช่วยในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์: วิตามินกลุ่มB และวิตามินC มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง และการเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง

วิตามิน ที่ละลายในน้ำ ข้อเสียวิตามินที่ละลายในน้ำ

  • ขาดได้ง่าย: เนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถเก็บสะสมวิตามินที่ละลายในน้ำได้ ในปริมาณมาก จึงต้องรับประทานอาหาร ที่มีวิตามินเหล่านี้ทุกวัน หากไม่ได้รับในปริมาณที่เพียงพอ อาจทำให้ขาดวิตามินได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และปัญหาสุขภาพต่างๆ
  • สูญเสียได้ง่าย จากการปรุงอาหาร: วิตามินที่ละลายในน้ำ สูญเสียได้ง่าย ในระหว่างการปรุงอาหาร โดยเฉพาะการต้ม ทำให้อาหารที่ผ่านกระบวนการปรุง อาจสูญเสียวิตามินไปจำนวนมาก หากไม่ระมัดระวัง
  • ผลข้างเคียงจาก การรับมากเกินไป: แม้ว่าวิตามินที่ละลายในน้ำ จะมีความเป็นพิษต่ำ แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะจากการรับประทานอาหารเสริม อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น วิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และวิตามินB6 มากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท

สรุป วิตามินที่ละลายในน้ำ ควรได้ปริมาณที่เหมาะสม

วิตามินที่ละลายในน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการทำงานของร่างกาย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมวิตามินเหล่านี้ได้ จึงควรรับประทานอาหาร ที่มีความหลากหลาย และครบถ้วนในแต่ละวัน เพื่อให้ได้รับวิตามิน ในปริมาณที่เหมาะสม การได้รับวิตามินเกิน หรือขาดจากความต้องการ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

44